เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

/

เที่ยวญี่ปุ่น

เอ้าเลท ฮิโรชิม่า The Outlets Hiroshima ช้อปปิ้งแหลกกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชูโกกุ

เอ้าเลท ฮิโรชิม่า The Outlets Hiroshima ช้อปปิ้งแหลกกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชูโกกุ

1854

วันนี้ ตลาดทัวร์ จะพาท่านไปทัวร์ญี่ปุ่น เราจะไปทำความรู้จักกับ เอ้าเลท ฮิโรชิม่า The Outlets Hiroshima  เมื่อพูดถึงเที่ยวฮิโรชิม่าแล้วหลายๆท่านคงน่าจะรู้จักกันดี ที่นี่เป็นมรดกโลกซี่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก หลายๆท่านที่มีโอกาสมาทัวร์ฮิโรชิม่าแล้วก็อย่างลืมมาแวะซื้อของฝากกันที่ เอ้าเลท ฮิโรชิม่ากันนะจะ ท่านสามารถเดินทางได้ง่าย เพราะที่นี่ติดกับสถานี JR ฮิโรชิม่า ( JR Hiroshima ) นั่นเอง ที่นี่ได้รวบรวมสินค้าแบรนด์เนมของญี่ปุ่นและต่างประเทศไว้ที่นี่ ท่านสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมได้อย่างจุใจเลยทีเดียว

มิตซุย เอาท์เลต Mitsui Outlet Park Sapporo Kotahiros แนะนำแหล่งช้อปปิ้งแหลกแหกทางโค้ง

มิตซุย เอาท์เลต Mitsui Outlet Park Sapporo Kotahiros แนะนำแหล่งช้อปปิ้งแหลกแหกทางโค้ง

292

แนะนำแหล่งช้อปปิ้งแหลกแหกทางโค้ง มิตซุย เอาท์เลต Mitsui Outlet Park Sapporo Kotahiroshima เมื่อหลายๆท่านได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น บิน 5 ชั่วโมงเองก็ไปถึงเมืองฮอกไกโด เวลาเราไปทัวร์ญี่ปุ่นเที่ยวซัปโปโรอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วอย่างลืมแวะไปช้อปปิ้งแหลกแหกทางโค้งที่ มิตซุย เอ้าท์เล็ทพาร์ค ซัปโปโร คิดตะฮิโรชิมะ  Mitsui Outlet Park Sapporo Kotahiroshima เป็นเอาท์เล็ทมอลล์ขนาดใหญ่อีกแหน่งหนึ่งของเมืองฮอกไกโด จึงไม่แปลกที่จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยจำนวนมากเมื่อมีโอกาศมาเที่ยวฮอกไกโดแล้ว จึงจะต้องแวะมาที่นี่ ที่นี่มีร้านค้าทุกประเภทกว่า 180 แห่ง มีสินค้าแบรด์เนมที่มีเชื่อเสียงให้เลือกมากมาย อาทิเช่น COACH, NIKE, ONITSUKA TIGER, ร้านขายยา MATSUMOTO KOYOSHI และร้านอื่นๆอีกมากมาย สำหรับชั้นที่ 1 ของมิตซุย เอ้าท์เล็ทพาร์ค ซัปโปโร จะมีมุมจำหน่ายของที่ระลึกในฮอกไกโด เราสามารถที่จะหาสาเกท้องถิ่นฮอกไกโดได้ที่นี่เพื่อที่จะเป็นของฝากสำหรับครอบครัวของเรานั่นเอง

แนะนำ 5 ลานสกีสุดเจ๋งในฮอกไกโด ทัวร์สกีฮอกไกโด ในฤดูหนาวของญี่ปุ่น หิมะนุ่ม เซลฟี่ ฟินสุด

แนะนำ 5 ลานสกีสุดเจ๋งในฮอกไกโด ทัวร์สกีฮอกไกโด ในฤดูหนาวของญี่ปุ่น หิมะนุ่ม เซลฟี่ ฟินสุด

618

วันนี้ ตลาดทัวร์ จะพาทุกท่านไป เล่นสกีฮอกไกโด กับ ทัวร์ฮอกไกโด ฤดูหนาวสุดเจ๋งกัน ต้องยอมรับเลยนะครับว่า "หิมะ"ของฮอกไกโดได้รับการยกย่องจากเหล่าบรรดานักเล่นสกีและนักสโนว์บอร์ดทั่วโลกว่าที่ฮอกไกโดมีหิมะคุณภาพดีที่สุดในโลก มีสกีรีสอร์ทชื่อดังมากมายในฮอกไกโด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Rusutsu และ Niseko มีชื่อเสียงมากในเรื่องผงหิมะและสิ่งอำนวยความสะดวก โรงแรม / ที่พักการขนส่งและน้ำพุร้อน (ออนเซ็น) มีให้บริการอย่างดี ตอนนี้รีสอร์ทที่ฮอกไกโดต่อไปนี้มีพนักงานที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ บางแห่งสามารถพูดภาษาจีนและเกาหลีได้นั่นเอง ท่านไหนที่ต้องการมา ทัวร์ญี่ปุ่น ทางเราขอแนะนำรีสอร์ทสกีที่ดีที่สุด 5 แห่งในฮอกไกโดสำหรับฤดูกาลล่าสุดมาฝากกันจร้า ไปดูพร้อมๆกันเลยจร้าาาาาา

แนะนำ 7 ทุ่งลาเวนเดอร์ฮอกไกโด ขาเที่ยวญี่ปุ่นต้องไปให้ได้สักครั้ง!

แนะนำ 7 ทุ่งลาเวนเดอร์ฮอกไกโด ขาเที่ยวญี่ปุ่นต้องไปให้ได้สักครั้ง!

422

ชมทุ่งลาเวนเดอร์ ฮอกไกโดญี่ปุ่น ตลาดทัวร์ จะพาคุณไป ทัวร์ฮอกไกโด ในช่วงฤดูร้อน ถ้าพูดถึงฤดูร้อนแล้วก็....หลายๆท่านก็คงไม่อยากออกไปไหน คงอยากจะเอาตัวซุกอยู่ในบ้าน หรือไม่ก็ชวนแฟนไปเดินชิวๆในห้างสรรพสินค้าอย่างแน่นอน อย่างที่ ตลาดทัวร์ ได้เกริ่นไปแล้วว่าเราจะพาคุณออกจากบ้านไปเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ในช่วงระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม ช่วงนี้อย่างแน่นอนหลายๆคนในเกาะฮอนชูซึ่งเป็นเกาะหลักของญี่ปุ่นกำลังเหงื่อออก เพราะอยู่ในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั่นเองและช่วงนี้ค่อนข้างจะร้อนและชื้น ดังนั้นสถานที่ๆดีสำหรับการออกไปพักผ่อนชิวๆในช่วยฤดูร้อนนั่นก็คือ ชมสวนดอกไม้ทุ่งลาเวนเดอร์ ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมออกไปชมทุ่งดอกไม้ในช่วงนี้กันอย่างมาก ถ้าเราขึ้นทางเหนือๆของฮอกไกโดหน่อย เราก็จะไม่พลาดที่จะไปปักหมุดกับสถานที่ท่องเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ฮอกไกโดที่สวยงาม

เที่ยวญี่ปุ่นฤดูไหนดีที่สุด รู้ไว้ก่อนไปทัวร์ญี่ปุ่น คุณจะได้ไม่พลาด!

เที่ยวญี่ปุ่นฤดูไหนดีที่สุด รู้ไว้ก่อนไปทัวร์ญี่ปุ่น คุณจะได้ไม่พลาด!

7569

เราเชื่อว่าหลายๆท่านที่มาเจอบทความนี้ คงจะหาข้อมูล เที่ยวญี่ปุ่น กัน วันนี้ ตลาดทัวร์ จะพาทุกท่านไป ทัวร์ญี่ปุ่น ไปรู้จักกับญี่ปุ่นว่าประเทศนี้เป็นยังไงก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวนั่นเอง สำหรับภูมิอากาศในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะถูกออกแบ่งเป็น 4 ฤดู แต่ความจริงแล้วเราสามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ด้วยความแตกต่างของลักษณะและสภาพพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค ทําให้การผลิดอก ออกใบของดอกไม้ และพืชพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นไฮไลท์สําหรับการท่องเที่ยวที่มีช่วงเวลาพิคซีซั่นที่ไล่กันไปตามฤดูกาล เรามาเริ่มต้นกันที่ ฤดูแรกของประเทศญี่ปุ่นกันเลยนะครับ

เที่ยวคุราชิกิ เมืองวินเทจเล็ก เดินเที่ยว พายเรือ ช้อปปิ้งเมืองเก่าสมัยเอโดะ

เที่ยวคุราชิกิ เมืองวินเทจเล็ก เดินเที่ยว พายเรือ ช้อปปิ้งเมืองเก่าสมัยเอโดะ

213

เที่ยวเมืองเก่าคุราชิกิ ( Kurashiki ) วันนี้ "ไปเที่ยวด้วยกัน " จะพาทัวร์ฮิโรชิมา ก่อนอื่นที่จะพาทุกท่านไปเที่ยวฮิโรชิมา ทางทีมงานต้องขอขอบคุณ สายการบินนกแอร์ ที่สนับสนุนให้ทีมงานไปถ่ายทำที่ฮิโรชิมา สำหรับท่านไหนอยากจะไปทัวร์ญี่ปุ่นมาสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินกับสายการบินนกแอร์ได้เลยนะจร้า เขาบินตรงแล้ว และบริการดีเยี่ยมเลย เอาละเข้าเรื่องกันได้แล้ว คุราชิกิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัด โอคายะมะ เมืองวินเทจเล็กๆที่ใครมากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ สำหรับใครที่จะลองแวะไปครั้งแรกรับรองว่าจะติดใจ และอยากจะกลับไปเที่ยวที่นี่บ่อยๆ เมื่อมีโอกาศไปเที่ยวญี่ปุ่นอีก เราขอกระซิบบอกเลยนะว่าเมืองนี้เป็นจุดศูนย์รวมธรรมชาติแสนสวยงามโดยเฉพาะแม่น้ำคุราชิกิซึ่งมีประวัติศาตร์ยาวนาน มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ และร้านอาหารแสนอร่อย ร้านขนมคุณไปแล้วจะไม่พลาดกับการช้อปปิ้งเพื่อเป็นของฝาก พูดได้ว่าย่านนี้ได้รวบรวมสินค้าจากพ่อค้าในยุคเอโดะมาไว้ที่นี่เลยแหละทีเดียว

วัดน้ำใส คิโยมิสึ Kiyomizu Temple วัดน้ำศักศิทธิแห่งเมืองเกียวโต เที่ยวกับทัวร์ญี่ปุ่น

วัดน้ำใส คิโยมิสึ Kiyomizu Temple วัดน้ำศักศิทธิแห่งเมืองเกียวโต เที่ยวกับทัวร์ญี่ปุ่น

446

วัดคิโยมิสึ (Kiyomizudera Temple : 清水寺) ซึ่งแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นจะมีความหมายว่า "น้ำบริสุทธิ์" และเป็นวัดอีกวัดหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า วัดน้ำใส นั่นเอง ไปเที่ยวด้วยกันขอแนะนำเลยนะจร้าว่า เมื่อคุณไปเที่ยวเกียวโตแล้วต้องห้ามพลาด ไปเที่ยววัดน้ำใสให้ได้ ตอนนี้คนไทยนิยมไปเที่ยววัดนี้เป็นอย่างมากเลย และวัดนี้เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมบัติของชาติของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันตกของเกียวโต จุดเด่นของวัดคิโยมิสึก็คืออาคารไม้หลังใหญ่และระเบียงที่สูง 13 เมตร มีตำนานในสมัยเอโดะ และอย่างแน่นอนเลยว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดหนึ่งที่มีเชื่อเสียงภายในวัดนั่นก็คื น้ำใส 3 สาย คิโยมิสึ ซึ่งน้ำใส 3 สายนี้มีความศักสิทธิ์อย่างมากมีคำเล่าลือมาตั้งแต่สมัยโบราณ*** เกร็ดความรู้ ***การเดินทางไปวัดน้ำใส หรือวัดคิโยมิสึนั้นสามารถเดินทางได้สองทางด้วยกันแล้วแต่คุณจะเลือก คือ วิธีที่ 1. เลือกเดินทางกับ ทัวร์ญี่ปุ่น เดินทางไปเป็นคณะ บริษัททัวร์จะเตรียมการรายละเอียดการเดินทางให้กับท่านหมดทุกอย่าง หน้าที่ของท่านคือไปเจอกับคณะจุดนัดหมายที่สนามบินเท่านั้น วิธีที่ 2. เดินทางแบบ แบ็คแพค วิธีนี้เพื่อนๆอาจจะต้องเตรียมตัวหาข้อมูลในการเดินทางเยอะหน่อย และสิ่งที่สำคัญท่านจะต้องจองทุกอย่างจัดเตรียมด้วยตัวเอง ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆว่าจะเลือกการเดินทางแบบไหน

เที่ยวญี่ปุ่น เมืองฮอกไกโด ช่วงนี้ฮอกไกโดมาดังใครจะไปเที่ยวต้องรู้ข้อมูลไว้

เที่ยวญี่ปุ่น เมืองฮอกไกโด ช่วงนี้ฮอกไกโดมาดังใครจะไปเที่ยวต้องรู้ข้อมูลไว้

179

ฮอกไกโดเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอับดับสองในประเทศญี่ปุ่น รองจากเกาะฮอนชู เดิมทีแล้วคนที่อาศัยอยู่ในเกาะฮอกไกโดจริงๆคือพวกไอนุ (Ainu) เป็นชนพื้นเมืองที่อยู่บนเกาะฮอกไกโดมาก่อนคนญี่ปุ่น  แต่ความที่เป็นฮอกไกโดมีพื้นที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์   ทำให้คนจากพื้นที่รอบรอบๆข้ามมาอยู่ที่ฮอกไกโดกันมากขึ้น แต่เดิมเกาะแห่งนี้มีชื่อว่า อิโซะ(Ezo) ถูกจัดเป็นพื้นที่กันดาร  มีแต่เมืองท่าตอนใต้ชื่อฮาโกดาเตะเท่านั้นที่มีการทำประมงและการค้าขึ้นมาบ้าง  และมีที่ต่างกำลังทหาร  เช่น  ป้อมโกะเรียวคะงุ หรือป้อมรูปดาวห้าแฉกแห่งเมืองฮาโกดาเตะนั่นเอง      ต่อมาเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองในญี่ปุ่น  ระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐ  หรือพวกที่นิยมอำนาจของโชกุนอยู่เดิม กับฝ่ายที่จะคืนอำนาจให้จักรพรรดิ กับฝ่ายโชกุนเสียท่าจนต้องถอยร่อนมารวบรวมกองกำลังกันใหม่ที่ฮาโกดาเตะ และทำการตั้งเป็นสาธารณรัฐอิโซะขึ้นมาใหม่แล้วสู้รบกันต่อ  ซึ่งการรบครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่เมืองนี่แหละ  หลังจากรบกันได้ประมาณเดือนเศษๆ  ฝ่ายสาธารณรัฐก้อพ่ายแพ้ในการรบทางเรือครั้งสุดท้าย  และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างหรือจดจำชื่อได้อีกก็เลย  มีการเปลี่ยนชื่อเกาะ “อิโซะ” มาเป็นเกาะ “ฮอกไกโด”  มีความหมายว่า “ดินแดนทางเหนือ” แทน       ต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มรู้สึกว่า จะปล่อยให้เกาะฮอกไกโดอยู่ว่างๆ รกร้างแบบนี้คงไม่ดีอีกต่อไป  เพราะเกาะนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก  กลัวว่าจะมีชาวรัสเซียซึ่งอยู่ทางด้านเหนือออกไกโด ที่อาศัยอยู่เกาะซาฮาลิน(Sakhalin)จะเข้ามาครอบครอง  จึงเริ่มเน้นการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้คนญี่ปุ่นอพยพมาตั้งถิ่นฐานกันมากขึ้นและมีการพัฒนาในด้านเกษตรกรรม  มีการตั้งคณะผู้บุกเบิกเกาะฮอกไกโดขึ้น  และมีการวางผังเมือง ซัปโปโร(Sapporo) และสร้างขึ้นมาใหม่หมด  เพื่อที่จะให้เป็นเมืองหลวงของเกาะในเวลาต่อมา  หลังจากนั้นฮอกไกโดก็ได้มีการพัฒนาไปมาก ต่อมาในปี ค.ศ. 1971  มีการขุดอุโมงค์รถไฟลอดใต้ทะเล  ชื่ออุโมงค์ไซคัง(Seikan tunnel )  เชื่อมทางรถไฟจากเกาะฮอนชูขึ้นมาฮอกไกโดได้สำเร็จ  อุโมงค์นี้ได้เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1988 และอุโมงค์นี้ทำให้ขนส่งสินค้าและผู้คนได้สะดวกขึ้น  สวนรถไฟความเร็วสูง หรือชินคันเซ็นยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างรางและคาดว่าจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการได้ถึงเมืองฮาโกดาเตะในปี ค.ศ. 2015ฮอกไกโดเป็นเกาะใหญ่ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 83,453 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ราว22%   ของญี่ปุ่นทั้งประเทศ พูดง่ายๆคือ พอๆกับ พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยเห็นจะได้ แต่กลับมีคนอยู่อาศัยน้อยมาก แค่ประมาณ 5 ล้านคน หรือ ราว 4% ของคนไทยทั้งประเทศเท่านั้น ทั้งนี้เพราะอากาศหนาวเย็นมากกว่าส่วนอื่นๆ ของประเทศ คนจึงอาศัยอยู่น้อยเรียกว่ามีที่ว่างให้ทำมาหากิน อีกมากมาย เทียบกับอื่นๆเลยทีเดียว        ที่ฮอกไกโด มีฤดูหนาวยาวกว่าที่อื่นๆเป็นเดือน และมีหิมะตกหนักอีกด้วย ว่ากันว่ามีอุณหภูมิที่เย็นกว่าโตเกียวถึง 10° หรือมากกว่านั้น ใครจะไปอยู่ก็ต้องรับสภาพประมาณนี้ให้ได้ ดังนั้นบ้านเรือนต้องปิดมิดชิดเพื่อกันหิมะ ถ้าอยากจะออกไปไหนในหน้าหนาวก็ต้องขับรถลุยหิมะไปเช่นเดียวกัน รถไฟมีทั่วถึงในระดับหนึ่ง แต่ว่าไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง คุณสามารถนั่งรถไฟข้ามจากสุดด้านนึงไปสุด ไปสุดอีกด้านหนึ่งของเกาะก็ได้ แต่ต้องใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณขับรถก็ต้องใช้เวลาพอๆกัน        ถึงแม้ฮอกไกโดจะมีอุณหภูมิที่หนาวเหน็บกว่าที่อื่น แต่ที่นี่ก็มีดีตรงที่มีที่ราบให้เพาะปลูกมากพอสมควร ทั้งดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นเหมาะแก่การปลูกพืชหลายหลายชนิด หรือจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัวเนื้อหรือวัวนม มีเลี้ยงกันเยอะแยะมากมาย  การประมงก็มีสัตว์น้ำที่แตกต่าง จากถิ่นอื่นๆ เช่น ปูยักษ์  ปลาสารพัดชนิด ทำให้ฮอกไกโด ได้ฉายาว่าเป็น ห้องครัวของญี่ปุ่น เรียกว่าใครไปเที่ยว ที่นี่ นอกจากจะเพลิดเพลินกับธรรมชาติแล้ว จะต้องกินให้พุงกางไปเลย ด้วยถึงจะเรียกว่าไปถึงฮอกไกโดจริงๆ        จุดเด่นของฮอกไกโดอยู่ตรงที่ความงดงามของธรรมชาติ ทั้งภูเขา ทะเลสาบ ภูเขาไฟ พืชพรรณไม้  สัตว์ป่า และความอุดมสมบูรณ์ทางด้านอาหารการกิน  แต่สิ่งที่แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของญี่ปุ่นก็คือ  ฮอกไกโดแทบจะไม่มี โบราณสถานประเภทที่เก่าแก่เป็นพันปีอย่างส่วนอื่นๆ ของญี่ปุ่น  ไม่ว่าจะเป็นวัดหรือปราสาทโบราณต่างๆ  เพราะแต่ดั้งเดิมนั้นคนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มีแต่พวกไอนุ (Ainu) ที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น  สืบประวัติกันไปแล้วน่าจะไปทางเป็นญาติกับชาวเอสกีโมทางอลาสก้ามากกว่าส่วนการตั้งถิ่นฐานของคนญี่ปุ่นบนเกาะนี้ เพิ่งจะเริ่มมีร้อยกว่าปีก่อนนี้เอง  โดยตอนแรกคนมาจากเกาะใหญ่ฮอนชูก็เข้าช่องแคบ สึงารุ(Tsugaru)  มายังตอนใต้ของฮอกไกโด        ด้วยเหตุนี้สิ่งก่อสร้างต่างๆบนเกาะฮอกไกโดนี้จึงเกิดขึ้นในยุคร้อยปีเศษ (ประมาณสมัยรัชการที่5)นี่เอง  คือเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคอุตสาหกรรมตอนต้น  ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน  ป้อมค่าย  ท่าเรือ  ล้วนแต่เป็นแบบสมัยใหม่ตอนที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศแล้ว  มีการรับเทคโนโลยีจากชาติตะวันตกเข้ามามากมาย  ชนิดที่คุณจะไม่ค่อยได้เห็นในที่อื่น  แต่ถือว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างของฮอกไกโดที่แตกต่าง จากความโบราณของเมืองเก่าอย่างเกียวโตเมืองนารา ที่เรามักจะนึกถึงบ้านหรือวัดรูปทรงแบบญี่ปุ่น  ผู้คนโบราณก็ต้องแต่งตัวประมาณชุดซามูไร  ผู้หญิงใส่กิโมโน  ถ้าคุณมีโอกาสได้เห็นรูปเก่า  คุณจะเห็นนายทหารใส่เสื้อกั๊กแบบฝรั่ง  พกดาบซามูไรไว้ประดับกาย  แต่มีปืนสั้นคาดเอวกับนาฬิกาพกห้อยโซ่  ผู้ชายใส่สูทผูกหูกระต่าย  ผู้หญิงสูงกระโปรงบานมางานเลี้ยงต่างๆ  ฮอกไกโดจึงเปรียบเสมือนห้องสมุดที่บันทึกภาพสะท้อนของญี่ปุ่นยุคพัฒนาประเทศไว้ได้อย่างครบครันเลยทีเดียว

เที่ยวญี่ปุ่น การเดินทางไปซัปโปโร ไปเที่ยวแบบไหนเหมาะสมมากที่สุด

เที่ยวญี่ปุ่น การเดินทางไปซัปโปโร ไปเที่ยวแบบไหนเหมาะสมมากที่สุด

273

การเดินทางมายังซัปโปโรด้วยครื่องบินจะเหมาะสมมากที่สุด ประตูทางอากาศหรือสนามบินชินชิโตเซะนี้จะเชื่อมโยงกับ เมืองใหญ่ๆ ที่สำคัญๆ ทั่วทั้งประเทศ พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้ได้รับความสะดวกสบายในการเข้า สู่เมืองซัปโปโรที่หลากหลายเวลาที่ต้องใช้จากสนามบินภายในประเทศที่สำคัญๆ          สนามบินนานาชาติโตเกียว (ฮาเนดะ) ประมาณ 1ชม. 30นาที          สนามบินนานาชาตินาริตะประมาณ 1ชม. 45นาที          สนามบินนานาชาติคันไซประมาณ 2ชม. 00นาที          สนามบินฟุคุโอกะประมาณ 2ชม. 15นาที          สนามบินนานาชาติชูบุประมาณ 1ชม. 35นาที          สนามบินนาฮะประมาณ 3ชม. 05นาทีเที่ยวบินตรงจากสนามบินต่างประเทศ          สนามบินนานาชาติอินชอน(เกาหลีใต้・โซล)          สนามบินนานาชาติกิมแฮ(เกาหลีใต้・ปูซาน)          สนามบินนานาชาติไต้หวันเถาหยวน(ไต้หวัน・ไทเป)          สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง(จีน・ปักกิ่ง)          สนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(จีน・เซี่ยงไฮ้          สนามบินนานาชาติต้าเหลียนจูชุยจี(จีน・ต้าเหลียน)          สนามบินนานาชาติฮ่องกง(จีน・ฮ่องกง)          สนามบินนานาชาติกวม(อเมริกา・กวม)          สนามบิน Khomutovo(รัสเซีย・Yuzhno-Sakhalinsk)          สนามบินนานาชาติโฮโนลูลู(อเมริกา・ฮาวาย)          สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ(ไทย・กรุงเทพฯ)บริษัทการบินภายในประเทศ          -Air Do          -All Nippon Airways          -Japan Airlines          -Hokkaido Air System          -Skymark Airlines          -Fujidream Airlines          -Peach          -Jetstar          -Vanilla Air

เที่ยวคุราชิกิ เมืองวินเทจเล็ก เดินเที่ยว พายเรือ ช้อปปิ้งเมืองเก่าสมัยเอโดะ

เที่ยวคุราชิกิ เมืองวินเทจเล็ก เดินเที่ยว พายเรือ ช้อปปิ้งเมืองเก่าสมัยเอโดะ

188

เที่ยวเมืองเก่าคุราชิกิ ( Kurashiki ) วันนี้ "ไปเที่ยวด้วยกัน " จะพาทัวร์ฮิโรชิมา ก่อนอื่นที่จะพาทุกท่านไปเที่ยวฮิโรชิมา ทางทีมงานต้องขอขอบคุณ สายการบินนกแอร์ ที่สนับสนุนให้ทีมงานไปถ่ายทำที่ฮิโรชิมา สำหรับท่านไหนอยากจะไปทัวร์ญี่ปุ่นมาสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินกับสายการบินนกแอร์ได้เลยนะจร้า เขาบินตรงแล้ว และบริการดีเยี่ยมเลย เอาละเข้าเรื่องกันได้แล้ว คุราชิกิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัด โอคายะมะ เมืองวินเทจเล็กๆที่ใครมากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ สำหรับใครที่จะลองแวะไปครั้งแรกรับรองว่าจะติดใจ และอยากจะกลับไปเที่ยวที่นี่บ่อยๆ เมื่อมีโอกาศไปเที่ยวญี่ปุ่นอีก เราขอกระซิบบอกเลยนะว่าเมืองนี้เป็นจุดศูนย์รวมธรรมชาติแสนสวยงามโดยเฉพาะแม่น้ำคุราชิกิซึ่งมีประวัติศาตร์ยาวนาน มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ และร้านอาหารแสนอร่อย ร้านขนมคุณไปแล้วจะไม่พลาดกับการช้อปปิ้งเพื่อเป็นของฝาก พูดได้ว่าย่านนี้ได้รวบรวมสินค้าจากพ่อค้าในยุคเอโดะมาไว้ที่นี่เลยแหละทีเดียว

พิกัดเที่ยวฮอกไกโดหน้าหนาว เที่ยวสนุก นอนอุ่น ฟินแน่นอน

พิกัดเที่ยวฮอกไกโดหน้าหนาว เที่ยวสนุก นอนอุ่น ฟินแน่นอน

800

ฤดูหนาวเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดีที่สุดสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่น และหนึ่งในโปรแกรมสุดฟินที่คณะลูกทัวร์ผู้หลงใหลในหิมะขาวสะอาดตาจะไม่ยอมพลาด ก็คือโปรแกรมเที่ยวฮอกไกโดฤดูหนาวนั่นเอง ทำไมฮอกไกโดหน้าหนาวถึงน่าสนใจสุดๆ สำหรับทัวร์ญี่ปุ่น นั่นก็เพราะ ฮอกไกโดเป็นเกาะทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากๆ  ในฤดูหนาวยอดเขาต่างๆ ในฮอกไกโดจะปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวสะอาดตา มีแหล่งสกีที่สวยงามระดับโลก แถมมีกิจกรรมให้คนรักทัวร์ญี่ปุ่นฟินกันแบบจุใจ ฉะนั้น หน้าหนาวนี้ใครยังไม่รู้จะไปกอดหมอนนอนอุ่นตากอากาศหนาวๆ ที่ไหน ลองมาดูทริปฮอไกโดกันจ้า 

รีวิวเที่ยวฮิโรชิม่า 6วัน4คืนกับนกแอร์ สายการบินนกแอร์ชวนคุณไปเที่ยวฮิโรชิม่า ไปแบบประหยัดสุดคุ้ม

รีวิวเที่ยวฮิโรชิม่า 6วัน4คืนกับนกแอร์ สายการบินนกแอร์ชวนคุณไปเที่ยวฮิโรชิม่า ไปแบบประหยัดสุดคุ้ม

127

เที่ยวฮิโรชิม่ากับนกแอร์  นกแอร์ บินฮิโรชิม่าฮิโรชิม่าถือว่าเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมไม่น้อยและยังเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ ที่รวบรวมเรื่องราวสำคัญภายในญี่ปุ่นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นที่มีคนพูดถึงมากที่สุด แบบนี้ก็ยิ่งเชิญชวนให้ต้องลองไปสัมผัสบรรยากาศจริงกันสักครั้ง พร้อมพาร่างไปปะทะลมหนาวแล้วสูดกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ให้เต็มปอด เชื่อว่าเขียนมาถึงขนาดนี้แล้วต้องมีคนยากไปด้วยแล้วใช่ไหม? ไม่ต้องรอ! เพราะเรามีรีวิวที่จะพาคุณไปสนุกกับทริปเที่ยวฮิโรชิมา กับ ข้อมูลเที่ยวฮิโรชิมา สุดคุ้มที่งานนี้เราจะบินไปกับสายการบินนกแอร์แบบราคาไม่แพงเวอร์ ตั๋วนกแอร์ไปฮิโรชิม่า ราคาประหยัด คุ้มค่าม๊ากมาก แต่ได้ครบจบทุกสิ่งเรื่องการเดินทาง แถมบริการก็ดีเป็นเลิศแบบเกินคาดอีกด้วยนะ*** เกร็ดความรู้ ***สำหรับใครที่ชอบเดินทางไปฮิโรชิม่า เราแนะนำตั๋วเครื่องบินไปฮิโรชิม่า เวลาดีที่สุด บริการดีที่สุด เที่ยวบินขาไป DD3302 เวลา 02:30 - 10:00 ( เวลาที่ญี่ปุ่น เร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง ) เที่ยวบินขากลับ DD3303 เวลา 11:00 - 15:15

รวมเทศกาลแสนพิเศษของฮอกไกโด เที่ยวได้ทั้งปี ไปกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

รวมเทศกาลแสนพิเศษของฮอกไกโด เที่ยวได้ทั้งปี ไปกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

191

เกาะฮอกไกโด เกาะที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีอากาศหนาวเย็นต้อนรับนักท่องเที่ยวเกือบทั้งปี นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและอาหารต้นตำรับฮอกไกโดที่มีรสชาติไม่เหมือนใครจะทำให้ฮอกไกโดเป็นที่รู้จักแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของการเที่ยวฮอกไกโดนั่นก็คือกิจกรรมเทศกาลต่างๆที่ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ความบันเทิง ความสนุกสนานทั้งกับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเทศกาลต่างๆก็มีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัวให้คุณได้ไปเปิดประสบการณ์ค้นพบด้วยตัวเองเกือบทั้งปี วันนี้เราได้รวบรวมเทศกาลฮอกไกโดเด็ดๆที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจ ประทับใจจนไม่มีวันลืมมาฝากกันถึง 12 เทศกาลเลยค่ะ

ชี้เป้า 9 แหล่งชอปปิงฮอกไกโดทั้งถูก คุ้ม คุณภาพเยี่ยม ขาชอปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ชี้เป้า 9 แหล่งชอปปิงฮอกไกโดทั้งถูก คุ้ม คุณภาพเยี่ยม ขาชอปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

572

เมื่อพูดถึงการไปเที่ยวฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่นแล้ว หลายคนคงคิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ฟาร์มดอกไม้ที่สวยงามเหมือนในเทพนิยาย หรือไม่ก็สกีรีสอร์ตที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและอากาศที่หนาวเย็น แต่จริงๆแล้วเกาะฮอกไกโดนั้นมีแหล่งชอปปิงมากมายเพื่อเอาใจนักชอปทั้งหลายให้ได้เดินชอปกระจายตลอดทั้งปี วันนี้เราได้รวบรวมแหล่งชอปปิงในฮอกไกโด ย่านร้านค้าและห้างสรรพสินค้าเด็ดๆ 9 แห่งมาแนะนำให้คุณได้รู้จักกัน งานนี้บอกเลยว่ากระเป๋าเงินฉีกแต่ฟินแน่นอนค่ะ

แนะนำ 13 จุดท่องเที่ยวย่านอุเอโนะ โอคะจิมะจิ เดินก็เพลิน กินก็อิ่มจุใจ

แนะนำ 13 จุดท่องเที่ยวย่านอุเอโนะ โอคะจิมะจิ เดินก็เพลิน กินก็อิ่มจุใจ

206

เที่ยวย่านอุเอโนะ (Ueno) และ ย่านโอคะจิมะจิ (Okachimachi) เป็นสองย่านที่อยู่ใกล้กันและเป็นที่โด่งดังในด้านของแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ร้านอาหารและร้านขนมสไตล์ญี่ปุ่น แม้ย่านอุเอโนะจะเป็นชื่อที่ใครหลายคนคุ้นหูและให้ความสนใจมากกว่า แต่ที่จริงแล้วย่านโอคะจิมะจิที่อยู่ไม่ไกลกันนักก็ถือเป็นเพชรในตมที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปค้นพบและสัมผัสกับบรรยากาศ วิถีชีวิตแบบคนญี่ปุ่นขนานแท้ นอกจากจะได้สัมผัส เรียนรู้วัฒนธรรมวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแล้ว คุณยังจะได้พบกับร้านอาหารญี่ปุ่นและร้านขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอีกด้วย ดังนั้นหากคุณชื่นชอบการเที่ยวญี่ปุ่น และวัฒนธรรมญี่ปุ่นและหลงใหลในอาหารญี่ปุ่น อยากจะลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับ วันนี้เรามีแหล่งท่องเที่ยวเดินเพลินๆ แหล่งกินและแหล่งชอปปิ้งที่จะทำให้คุณฟินไม่รู้ลืมกับการเที่ยวย่านอุเอโนะและโอคะจิมะจิอย่างแน่นอน

คู่มือเที่ยวย่านอากิฮาบาระ 14 สถานที่ สายกิน สายชอป สายสะสม ห้ามพลาดเป็นอันขาด!

คู่มือเที่ยวย่านอากิฮาบาระ 14 สถานที่ สายกิน สายชอป สายสะสม ห้ามพลาดเป็นอันขาด!

487

ย่านอากิฮาบาระ (Akihabara) ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงโตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น ที่ครึกครื้นและน่าตื่นตาตื่นใจไม่ว่ายามกลางวันหรือยามกลางคืน นอกจากจะเป็นศูนย์รวมสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมชาวโอตาคุ (Otaku) หรือคนที่ชื่นชอบในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นและอนิเมชั่นญี่ปุ่นนั่นเอง ทำให้ย่านอากิฮาบาระเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ แต่นักท่องเที่ยวรุ่นเก๋าที่มาทัวร์ญี่ปุ่นเองก็ไปเยี่ยมเยือนเพื่อรับประสบการณ์แปลกใหม่ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าไม่ว่าจะวัยไหนก็สามารถไปเที่ยวย่านอากิฮาบาระได้ไม่มีเบื่อแน่นอน แต่หากใครที่ยังไม่รู้ว่าย่านอากิฮาบาระมีที่ไหนที่ต้องไปเยือนให้ได้บ้าง วันนี้เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม แหล่งชอปปิงสุดคุ้ม และร้านอาหารแสนอร่อยที่คุณห้ามพลาดมาฝากค่ะ

แนะนำ 8 ร้านอาหารอร่อยยอดฮิตในฮอกไกโด ราคาเป็นมิตรแถมยังอิ่มท้อง รับรองว่าฟิน

แนะนำ 8 ร้านอาหารอร่อยยอดฮิตในฮอกไกโด ราคาเป็นมิตรแถมยังอิ่มท้อง รับรองว่าฟิน

249

เมื่อได้ไปเที่ยวฮอกไกโดแล้ว สิ่งที่ทุกคนต้องไม่พลาดก็คือการได้ไปกินอาหารอร่อยๆ แน่นอนว่าอาหารญี่ปุ่นนั้นเป็นที่ถูกปากของชาวไทยอยู่แล้ว แต่อาหารที่ฮอกไกโดนั้นมีความพิเศษอยู่ที่อาหารทะเลที่มีความสด เนื้อปลา หอย กุ้ง และปู มีความแน่นและหวานกว่าที่อื่น นอกจากนี้ฮอกไกโดยังขึ้นชื่อในเรื่องราเมน ที่มีน้ำซุปหอมมัน และบางร้านก็มีทอปปิ้งหน้าทะเลแบบจุใจ เรียกได้ว่าถ้าใครยังไม่เคยลิ้มลองอาหารรสชาติต้นตำรับฮอกไกโดก็ถือว่ายังมาไม่ถึงฮอกไกโดจริงๆ วันนี้เราได้รวมแหล่งกิน ร้านอาหารฮอกไกโด เจ้าเด็ด เจ้าดัง มาให้ทุกคนได้ลองไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆที่รับรองว่าฟิน อิ่มจนพุงกางจนต้องกลิ้งกลับบ้านเลยล่ะค่ะ

รีวิว 9 กิจกรรมสุดฟินที่จะพาเราอินไปกับหน้าร้อนในฮอกไกโด

รีวิว 9 กิจกรรมสุดฟินที่จะพาเราอินไปกับหน้าร้อนในฮอกไกโด

163

สำหรับการเที่ยวฮอกไกโดนั้น ฤดูหนาวเป็นฤดูกาลที่เหมือนมีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวที่ชวนให้ผู้คนต่างเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศกันอย่างล้นหลาม ด้วยภูมิอากาศที่หนาวเหน็บ มีหิมะตก จึงทำให้ไม่ว่าจะมุมไหนๆ ก็ต่างสวยงามราวกับเมืองในเทพนิยาย และไม่เพียงเท่านั้นฤดูหนาวของฮอกไกโดก็ยังเต็มไปด้วยเทศกาลฮอกไกโดมากมายให้เราได้ไปร่วมชื่นชม อีกทั้งยังมีกิจกรรมเฉพาะฤดูกาลที่ตื่นเต้น สนุกสนาน ท้าลมหนาวอย่างหลากหลายให้นักท่องเที่ยวที่ไปทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงนั้นได้สัมผัสกันอย่างเต็มที่ เปิดประสบการณ์ใหม่ที่ฟินสุดใจกันไปเลยทีเดียว  ว่าแต่จะมีกิจกรรมไหนบ้างที่ไม่ควรพลาด ไปดูกันค่ะ

รีวิว 10 สถานที่เที่ยวฮอกไกโด สัมผัสประสบการณ์ใหม่บนเกาะเหนือของญี่ปุ่น

รีวิว 10 สถานที่เที่ยวฮอกไกโด สัมผัสประสบการณ์ใหม่บนเกาะเหนือของญี่ปุ่น

248

การไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน เพราะญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามแทบทุกมุมของประเทศ และที่สำคัญหากคุณไปทัวร์ญี่ปุ่น สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการได้ไปเยือน ฮอกไกโดจังหวัดสำคัญของญี่ปุ่นที่ใครต่างก็เล่าขานเมื่อได้สัมผัสบรรยากาศ เพราะต้องบอกเลยว่าบรรยากาศที่นั่นเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามสุดๆ ในแทบทุกฤดูกาล มีอากาศเย็นสบายไปจนถึงหนาวจับใจ แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวเยอะมากอย่างที่ต้องบอกเลยว่า ไปครั้งเดียวไม่พอ !  วันนี้เราเลยรวบรวม 10 สถานที่เที่ยวฮอกไกโด ที่สายเที่ยวไม่ควรพลาดมาฝากกันค่ะ

10 มุมโดนใจ เที่ยวญี่ปุ่นยังไงให้ได้ภาพสวย โดนใจแน่นอน

10 มุมโดนใจ เที่ยวญี่ปุ่นยังไงให้ได้ภาพสวย โดนใจแน่นอน

378

การถ่ายรูปกับการเดินทางท่องเที่ยวเป็นของคู่กัน เพราะเวลาที่เราไปพบเจอหรือสัมผัสกับสถานที่บรรยากาศสวย ๆ พร้อมกับได้ตะลุยไปกับประสบการณ์ใหม่ ๆ เราก็อยากจะเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงจำเป็นธรรมดา ยิ่งประเทศที่งดงามและโด่งดังซึ่งพาเราตกหลุมรักได้ง่าย ๆ อย่างญี่ปุ่นแล้ว ยิ่งมีมุมหลายมุมที่อยากแชะเก็บลงในอัลบั้มการเดินทางของเรา ว่าแต่จะมีมุมไหนที่ใช่เลยในการออกเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นน่ะเหรอคะ บอกเลยค่ะว่า ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้มุมภาพดี ๆ กลับมา เพราะวันนี้เราได้รวบรวมกว่า 10 สถานที่ถ่ายรูปสวยญี่ปุ่น    กับทริปเที่ยวญี่ปุ่น มาฝากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าคุณจะได้ภาพสวยแน่นอน และไปแล้วต้องไปถ่ายมุมนี้เท่านั้น

แนะนำ 10 สถานที่เที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาว เขาไปเที่ยวที่ไหนกัน ไปแล้วฟินแน่นอน

แนะนำ 10 สถานที่เที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาว เขาไปเที่ยวที่ไหนกัน ไปแล้วฟินแน่นอน

440

ถ้าพูดถึงการไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น เชื่อว่าใครหลายๆ คนต้องมีภาพฝันถึงหิมะสีขาวบริสุทธิ์และความหนาวเย็นลอยมาในจินตนาการก่อนอย่างแน่นอน! เพราะญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวฤดูหนาวที่มีความสวยงามและบรรยากาศดีอย่างมาก เมื่อไปแล้วไม่ได้ฟินกับอากาศอันหนาวเย็นเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้สัมผัสถึงบรรยากาศสุดโรแมนติก ความสุขของการได้เห็นแหล่งธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ชนิดที่ว่าไปแล้วอิ่มอกอิ่มใจจนอยากกลับมาอีกครั้ง และหากใครที่กำลังมีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นนี้แต่ไม่รู้จะไปไหนดีเรามีสถานที่เด็ดๆ ที่ไม่อยากให้พลาดมาฝากกันค่ะ 

10 อย่างที่ควรรู้ก่อน เมื่อจะไปเที่ยวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเขาไม่ทำกัน

10 อย่างที่ควรรู้ก่อน เมื่อจะไปเที่ยวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเขาไม่ทำกัน

207

ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศแห่งวัฒนธรรม ที่มีความชัดเจนทั้งในเรื่องของกฎระเบียบและขนบธรรมเนียมที่ค่อนข้างเคร่งครัดมากกว่าคนไทยเป็นเท่าตัว ดังนั้นเรื่องที่คุณควรรู้ก่อนการไปทัวร์ญี่ปุ่น คือ ข้อห้ามต่างๆ ที่แม้อาจจะไม่ได้ระบุออกมาเป็นกฎระเบียบที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน แต่ก็ไม่ควรไปทำที่ญี่ปุ่นเด็ดขาด(ข้อห้ามปฏิบัติในญี่ปุ่น) ถึงแม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างที่คนไทยอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วเค้าอาจจะไม่ทำกันค่ะ และอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้คุณต้องอายได้อีกด้วยนะ ดังนั้นถ้าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบโนดราม่าตามมาก็ต้องรู้กฎกติกา ข้อห้ามต่างๆ กันก่อนค่ะ

9 พิกัดที่ต้องไปเที่ยวในญี่ปุ่นให้ได้ ไปแล้วยังไงก็ฟิน

9 พิกัดที่ต้องไปเที่ยวในญี่ปุ่นให้ได้ ไปแล้วยังไงก็ฟิน

293

ญี่ปุ่นถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศท่องเที่ยว ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของบรรยากาศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นต่างก็ยอมรับถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม ศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังคงกลิ่นอายของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนไทยไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่ถ้าคุณเคยมาเป็นครั้งแรกแล้วยังไม่รู้ว่ามีพิกัดไหนบ้างที่จะทำให้คุณได้ท่องเที่ยวญี่ปุ่นอย่างสุดฟิน วันนี้เรามี 10 พิกัดเด่นๆ เด็ดๆ ที่คุณต้องไม่พลาดมาฝาก

ตลาดปลาสึกิจิ แหล่งอาหารทะเลสดที่ญี่ปุ่น

ตลาดปลาสึกิจิ แหล่งอาหารทะเลสดที่ญี่ปุ่น

296

    สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้แอดจะมาแนะนำพิกัดตลาด เป็นตลาดที่มีแต่ของทะเลสดๆ สดแบบไม่มีที่ไหนจะสดไปกว่านี้แล้วค่ะ เพราะว่าของทะเลที่นี้ส่วนมากยังไม่ตาย สดแบบว่าปลากำลังว่าย หมึกกำลังเคลื่อนที่ หอยก็ออกมาโชว์ตัวกันให้เห็นเลยค่ะ ถ้าจะสดกว่านี้ต้องลงไปจับเองในทะเลแล้วค่ะ ตลาดปลาสึกิจิเป็นแหล่งอาหารทะเลในญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ     ใครไปญี่ปุ่นต้องห้ามพลาดตลาดแห่งนี้ ใครอยากกินอาหารทะเลสดๆ ราคาถูกแนะนำไปที่ตลาดปลาสึกิจิเลยค่ะ ตลาดปลาสึกิจิ เป็นตลาดค้าส่งปลาและอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังคงเป็นตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย ตลาดปลาแต่ไม่ได้มีแค่ปลานะคะทุกคน ยังมีอาหารทะเลอื่นๆอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น หมึกตัวเล็ก ตัวใหญ่ กุ้ง หอยนางรม ปู ปลิงทะเล ปลาไหล แซลมอน อูนิ ปลาทู และยังมีร้านคาเฟ่ ร้านขายชาเขียว ไข่หวานม้วน และร้านอื่นๆอีกมากมาย และที่สำคัญตลาดแห่งนี้ยังมีร้านรับทำอาหารทะเลสดๆอีกด้วย ใครอยากกินเมนูไหนอะไรก็สั่งพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาด จัดการให้เลยแค่นั่งรอกินแซ่บก็พอ ที่นี้มีร้านรับทำมากกว่า 100 ร้านค้าเลยนะ  และไม่ว่าจะปรุงสุก หรือ ซาซิมิก็ได้หมด สะดวกสบายมากๆเลยค่ะ ไปที่เดียวคุ้มค่าสุดๆ ไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลย เตรียมแค่ตังไปอย่างเดียวก็พอแล้ว    ตลาดปลาสึกิจิแห่งนี้ มีการซื้อขายอาหารทะเลมากกว่า 2,000 ตันต่อวัน ที่สำคัญมีร้านเยอะแยะมากมายให้เลือกอีกด้วย พ่อค้าแม่ค้าที่นี่เขาเปิดขายกันแต่เช้าจริงๆ เพื่อรอตอนรับนักชิมนักท่องเที่ยวทั่วโลก และชาวญี่ปุ่นเอง มาลิ้มลองอาหารทะเลสดๆที่ตลาดแห่งนี้ ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยว และยูทูบเบอร์ ให้ความสนใจ แวะเวียนไปทำคอนเทนต์ต่างๆ ที่เราสามารถเห็นได้บ่อยตามโซเชียลนั้นเอง ช่วงวันธรรมดาผู้คนจะกระจายประปราย ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตลาดแน่นแทบแตก ไม่ว่าจะเป็นร้านขายอาหารทะเลสด หรือร้านรับทำอาหารทะเล หรือร้านของฝาก ร้านขายน้ำต่างๆ แต่ละร้านจะมีผู้คนยืนต่อแถวยาวไม่ขาดสาย บอกเลยว่าเต็มแทบทุกร้าน ทุกร้านเลยจริงๆ    ใครที่คิดจะไปตลาดปลาแห่งนี้ในวันหยุดต้องมีความอดทนพอสมควรนะคะ อดทนในการยืนรอคิวนานเป็นพิเศษ แอดแนะนำว่าหากใครไม่รีบไปไหน ให้ไปวันธรรมดาจะดีกว่า คนกำลังพอดีไม่เยอะเกินไป อิ่มอร่อยจนแน่นท้องแล้วก็สามารถไปเดินย่อยที่ร้านขายของฝากได้นะคะ มีอาหารทะเลแห้งเยอะมาก ให้เลือกซื้อกลับไปฝากญาติ ครอบครัว อีกด้วย เป็นไงกันบ้างค่ะ ตลาดปลาสึกิจิถูกใจไหมค่ะ ต้องไปลองให้ได้นะคะ บอกเลยว่าติดใจมีไปซำ้แน่นอน วันนี้แอดต้องขอตัวไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะช่วงเวลาทำการ    เปิด :  5:00-14:00 ของทุกวัน    ปิดทำการ : ทุกวันพุธ-วันอาทิตย์การเดินทาง   ส่วนใครจะไปตลาดปลาสึกิจิ ก็ไม่ยากเลยการเดินทางสะดวกสบาย สามารถมาลงที่ สถานีสึคิจิ โดยใช้รถไฟโตเกียวเมโทร สายฮิบิยะ จากนั้นออกที่ทางออกหมายเลข 1 จากนั้นเดินไปทางด้านซ้ายประมาณ 150 เมตรก็ถึงแล้วค่ะ หรือจะมาลงที่ สถานีสึคิจิชิโจ โดยใช้รถไฟโทเอ สายโอเอโดะ ก็ได้เหมือนกัน แล้วให้ออกที่ทางออก A1 จากนั้นไปทางด้านขวาตรงไปประมาณ 200 เมตรก็ถึงปลายทางตลาดปลาซึกิจิแล้ว

รู้ไว้ไม่เสียหายแน่นอน สิ่งของต้องห้ามนำเข้าญี่ปุ่น

รู้ไว้ไม่เสียหายแน่นอน สิ่งของต้องห้ามนำเข้าญี่ปุ่น

1212

    รู้ไว้ไม่เสียหายแน่นอน สิ่งของต้องห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว อย่ารอช้า! รีบจัดกระเป๋า จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นกันเลย แล้วออกไปใช้ชีวิตและเที่ยวในแบบคุณได้เลย และเพื่อให้คุณสามารถเดินทางเข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจ วันนี้แอดมินมาอัปเดตเกี่ยวกับสิ่งของต้องห้ามที่ห้ามนำเข้าญี่ปุ่นเงินสดเกิน 2 ล้านเยน   ทุกคนรู้หรือไม่ว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่นและพกเงินสดที่มากเกินไปอาจจะโดนกักตัวเข้าห้องเย็นและโดนสอบสวนถึงที่มาที่ไปของเงิน เพราะเป็นการสุ่มเสี่ยงว่าเราอาจนำเงินเข้าไปทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือทำการฟอกเงินก็เป็นได้ ถึงเราจะไม่ได้เอาไปทำอะไรที่ร้ายแรงแต่เราจะต้องเสียเวลาตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่เป็นชั่วโมงๆหรือไม่อาจจะมากกว่านั้น ทางที่ดีควรพกบัตรเครดิต บัตร Travel Card จะดีกว่านะคะทองคำ   ห้ามนำทองคำเกิน 1 กิโลกรัมเข้าญี่ปุ่นเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นทองคำแปรรูปหรือทองคำแท่ง ถ้านำเข้าที่เยอะไปเกิน ท่านจะถูกเชิญเข้าห้องเย็นเช่นกัน เพราะไม่มีใครไปเที่ยวแล้วบ้าเอาทองไปเป็นกิโลๆใช่ไหมละ เพราะป้องกันการเอาไปทำธุระกิจผิดกฏหมายในภายหน้ายารักษาโรค   รู้หรือไม่ว่าเราจะพกพายาไปญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยาบางชนิดมีคำต้องห้ามโดดเด็ดขาดถึงขึ้น ถ้าเผลอเอาเข้าไปอาจจะผิดกฏหมายและติด ต.ม เข้าเข้าประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของ สารซูโดอีเฟดรีน สารไดเฟนอกไซเลต ดังนั้นใครที่มีโรคประจำตัวที่จำเป็นต้องใช้ยาจะต้องมี ใบรับรองแพทย์ และข้อมูลการใช้ยาอย่างละเอียดเป็นภาษาอังกฤษเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์   อย่างที่ทุกคนทราบว่าตอนนี้สถานการณ์จากโรคทางปศุสัตว์ในหลายๆประเทศไม่ค่อยดีนัก มีโรคติดต่อใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมาย ประเทศญี่ปุ่นจึงได้ตรวจเข้มการนำเข้าเนื้อสัตว์ตามสนามบินและท่าเรือทั่วประเทศเป็นอย่างมาก เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ทั้งสดและแปรรูปเป็น ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ ไก่ยอ ลูกชิ้นต่างๆ แฮม นมดิบ ผักและผลไม้บางชนิด   ใครจะไปรู้ว่าขนาดผลไม้ยังไม่สามารถเอาเข้าญี่ปุ่นได้ โอ้มายก๊อด หลักๆเลยก็จะมี กล้วย มะม่วง ส้ม แก้วมังกร ผักตระกูลพริกและมะเขือทุกชนิด เพราะทางญี่ปุ่นนั้นกลัวว่าพืชผักที่นำมาอาจมีสารปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียก็เป็นได้ สิ่งห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด ยกเว้นผักผลไม้ที่ผ่านการแปรรูปแล้วเช่น ของหมักดอง ผลไม้กระป๋อง ที่มีตราสินค้ามาตรฐาน บรรจุภัณฑ์แน่นหนา ได้รับการรับรองมาแล้ว ก็สามารถนำเข้าได้นั่นเองแมลงทุกชนิด   แมลงก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ห้ามนำเข้าญี่ปุ่นนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแมลงที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ตาม สาเหตุก็เพราะเป็นมาตรการป้องกันด้านสิ่งแวดล้อมทำลายระบบนิเวศหรือก่อให้เกิดโรคระบาดต่อการเกษตรของญี่ปุ่นได้ แมลงทอดที่กินได้ ก็เอาเข้าไม่ได้นะคะ ห้ามจริงๆ สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์   ทางญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องนี้มากๆเช่นกันนะคะ อย่าได้คิดจะเอากระเป๋าสินค้าแบรนด์เนม เครื่องประดับ หรือของใช้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์หนี้ภาษีต่างๆเข้าไปโดยเด็ดขาด หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อพิสูจน์แล้วว่าเป็นของปลอมหนี้ภาษี ก็อาจทำให้ถูกยึด และดำเนินคดีทางกฏหมาย และเงินในกระเป๋าอย่างแน่นอนยาเสพติดทุกชนิด   ไม่บอกก็รู้ว่าห้ามแน่นอน ไม่ว่าประเทศไหนๆก็ห้ามทั้งนั้น ประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกัน เพราะถ้าถูกจับได้อาจจะติดคุกหัวโตเป็นเรื่องราวระดับประเทศเลยก็ว่าได้ และมีโทษที่นักมากๆ เพราะเป็นสิ่งผิดกฏหมายร้ายแรง และแน่นอนว่าคุณจะถูกแบนห้ามเข้าญี่ปุ่นตลอดชีวิต

รวม 10 อาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ไปเยือนญี่ปุ่นต้องได้ไปกิน

รวม 10 อาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ไปเยือนญี่ปุ่นต้องได้ไปกิน

454

   บินลัดท้องฟ้ามาไกลถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องมากินอาหารญี่ปุ่น เปลี่ยนบรรยากาศ ชวนลิ้มลอง อาหารของประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว บอกเลยว่าอาหารของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเสน่ห์มาก ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่ลงตัว และหน้าตาของอาหารที่สวยงาม สดสะอาด เป็นเอกลักษณ์ แล้วยังมีอาหารหลากหลายอย่าง ที่ชวนให้นักกินทั่วโลกมารวมตัวกันที่นี่ วันนี้แอดจะมาแนะนำ 10 อาหารดัง 10 อาหารยอดฮิตที่ใครๆ ไปถึงญี่ปุ่นก็ต้องหากินแน่นอน รวมถึงตัวแอดเองด้วย ใครที่นึกไม่ออกว่าไปถึงญี่ปุ่นแล้วจะกินอะไร วันนี้แอดมีมาเสนอ ลองมาดูกันเลย อย่างแรก ก็ต้องยกให้ซาชิมิ    ซาซิมิเป็นอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก โดยเฉพาะชาวไทยเราที่ชื่นชอบและหลงไหลมาจากค่านิยมของการกิบแบบคนญี่ปุ่น ซาซิมิ เป็นเมนูง่ายๆ มักจะเน้นความสดไหม่ของวัตถุดิบเป็นส่วนไหญ่  ซึ้งประกอบด้วยปลาดิบหรืออาหารทะเลหั่นบาง ๆ โดยทั่วไปจะเสิร์ฟเป็นอาหารรสเลิศ และขึ้นชื่อเรื่องความสดสะอาด ทาน คู่กับซอส เช่น โชยุและวาซาบิ หรืออาจจัดเป็นส่วนหนึ่งของซูชิจานใหญ่ก็ได้ ราเมง   ราเมงเป็นอาหารญี่ปุ่นที่มีน้ำซุปและเส้นเป็นส่วนประกอบหลัก เป็นอาหาร comfort food ที่ได้รับความนิยมและเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่เข้มข้นและรูปแบบที่หลากหลาย ปัจจุบันราเมงได้รับความนิยมในการรับประทานกันอย่างแพร่หลายโลก และถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนไทยนิยมเป็นอย่างมากอุด้ง   เป็นอาหารประเภทเส้นยอดนิยมอีกประเภทหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากราเมน เส้นอุด้งนั้นหนาและเหนียวกว่าเส้นราเมง ทำจากแป้งสาลี น้ำ และบางครั้งก็ใส่เกลือเล็กน้อย เส้นอุด้งมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มลื่นเล็กน้อยซึ่งทำให้เส้นอุด้งแตกต่างจากเส้นประเภทอื่นๆ ให้เนื้อสัมผัสที่ละมุนละไม้คล้ายคลึ่งกับขนมจีนบ้านเรา ชาวญี่ปุ่นมักชอบทานกันในช่วงเทศกาลต่างๆ หรือเป็นสำหรับต้อนรับแขกดีๆในนั่นเองเทมปุระ   เทมปุระเป็น อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม เป็นเมนูแปลกอีกเมนูหนึ่ง ที่มีเรื่องเล่ามาจากชาวกลุ่มน้อยของญี่ปุ่นว่า เมนูได้รับการพัฒนาผีมือมากจากชาวสวนผักของญี่ปุ่น ที่ต้องการถนนมอาหารและปรับแต่งเมนูอาหารจากผักจำนวนมากของพวกเขา จึงนำพวกมันมาทอดรวมกัน ประกอบด้วยอาหารทะเล ผัก หรือส่วนผสมอื่นๆ ชุบแป้งทอด ต้องลองนะคะ เป็นของทอดที่จริงใจและอร่อยสุดๆยากิโทริ   ยากิโทริเป็น อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม เป็นเมนูอาหารง่ายๆ แต่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และเฉพาะตัวมากๆ ยาทากิ ประกอบด้วยชิ้นไก่หมักซอลญี่ปุ่น ผ่านกระบวนการหมักและกรรมวิธีจนได้ที่แล้ว จึงนำเสียบไม้และย่าง มักเสิร์ฟเป็นของคาว ขนาดพอดีคำ ยากิโทริ มีขายทั้งในร้านอาหาร และตามถนนคนเดินของญี่ปุ่น โอโคโนมิยากิ    โอโคโนมิยากิเป็นแพนเค้กญี่ปุ่นที่มักเรียกกันว่า  พิซซ่าญี่ปุ่น โอโคโนมิยากิโดยทั่วไปประกอบด้วยแป้งที่ทำจากแป้ง ไข่ กะหล่ำปลีฝอย และส่วนผสมอื่นๆ จากนั้นนำส่วนผสมนี้ไปปรุงบนตะแกรงหรือกระทะร้อน จนได้แพนเค้กหนานุ่มน่ารับประทาน ไส้และท็อปปิ้งอาจแตกต่างกันไป และมักจะทำให้โอโคโนมิยากิแต่ละอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกิวคัตสึ   กิวคัตสึเป็น อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม ที่ประกอบด้วยเนื้อชุบเกล็ดขนมปังทอด อาหารจานนี้ทำโดยนำเนื้อมาชุบแป้ง ไข่ และเกล็ดขนมปัง ปังโกะ เกล็ดขนมปังสไตล์ญี่ปุ่น เกล็ดขนมปังของ Panko สร้างเนื้อสัมผัสที่เบาและกรอบเมื่อทอด ในขณะที่แป้งและไข่ช่วยให้เกล็ดขนมปังติดกับเนื้อ จากนั้นนำเนื้อชุบเกล็ดขนมปังทอดจนเหลืองกรอบด้านนอกในขณะที่ยังคงความนุ่มด้านในสุกี้ยากิ   สุกี้ยากี้เป็นอาหารประเภทหม้อไฟยอดนิยมของญี่ปุ่นที่มีเนื้อสไลด์บาง ผัก และส่วนผสมอื่นๆ ปรุงในน้ำซุปที่มีรสชาติเข้มข้นจากถั่วเหลืองหรือโชยุเป็นส่วนประกอบหลัก  เป็นอาหารที่รับประทานกันในงานเลี้ยงสังสรรค์ โดยผู้รับประทานอาหารจะปรุงส่วนผสมที่โต๊ะโดยใช้เตาแบบพกพาหรือหม้อไฟในตัวทาโกยากิทาโกะยากิเป็นอาหาร Street Food อาหารทานเล่นยอดนิยมของญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดในโอซาก้า เป็นของว่างทรงกลมที่ทำจากแป้ง น้ำ ไข่ และส่วนผสมอื่นๆ สอดไส้ด้วยปลาหมึกหั่นเต๋า (ทาโกะ) เศษเทมปุระ ต้นหอม และขิงดอง ส่วนผสมนี้ปรุงในกระทะทาโกะยากิแบบพิเศษพร้อมแม่พิมพ์ครึ่งทรงกลม สร้างรูปทรงที่โดดเด่นข้าวหน้าเนื้อ   ข้าวหน้าเนื้อ เป็นอีกเมนูหนึ่งนะคะที่มีคนไทยจำนวนมากนิยมทาน นอกจากรสชาติดี ทำงานแล้ว ยังมีขายให้คนไทยได้ทานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะที่ญี่ปุ่นเองหรือที่ไทยเราก็ตาม อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม ข้าวหน้าเนื้อ ประกอบด้วยเนื้อวากิวสไลซ์บาง ๆ  ปรุงกับหัวหอม น้ำมันงาและเสิร์ฟบนชามข้าวสวย ราดซอส และโรยงา กินคู่กับเครื่องเคียง มูนูนี้ต้องลองไปทานที่ญี่ปุนให้ได้ค่ะโซบะ  โซบะเป็นบะหมี่ญี่ปุ่นประเภทหนึ่งที่ทำจากแป้งโซบะ buckwheat เป็นส่วนผสมที่หลากหลายและเป็นที่นิยมในอาหารญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักเพราะมีรสชาติที่โดดเด่นและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เส้นโซบะมีลักษณะบางและยาว คล้ายกับสปาเก็ตตี้ และสามารถเสิร์ฟในอาหารได้หลากหลายข้าวหน้าปลาไหล   ข้าวหน้าปลาไหล เป็นอาหารญี่ปุ่นที่มีปลาไหลย่าง unagi ราดด้วยซอสหวานและเค็ม เสิร์ฟบนชาม เป็น อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม ที่มักรับประทานในโอกาสพิเศษหรือเป็นของว่างเนื่องจากความเข้มข้นและรสชาติของปลาไหล   เห็นไหมล่ะว่าแต่เมนูชวนท้องร้องจ๊อกจ๊อก ใน 10 เมนูนี้ แอดชอบหมดทุกเมนู ไม่ว่าจะเมนูไหนก็น่ากินไปหมด ยังไม่หมดแค่นี้อาหารญี่ปุ่น ยังมี ซูชิ เทนดง ข้าวหน้าไก่ ชาบู โอเด้ง และอื่นๆอีกมากมาย นี่เป็นแค่ตัวอย่าง อาหารยอดฮิตตลอดกาลที่นักท่องเที่ยวนิยมกิน และเมื่อไปถึงญี่ปุ่นมีขายแน่นอน

คลองโอตารุ (Otaru Canal) แห่งฮอกไกโด

คลองโอตารุ (Otaru Canal) แห่งฮอกไกโด

296

   คลองโอตารุ นับว่าเป็นคลองที่มีประวัติยาวนานของเมืองโอตารุ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1923 เป็นเมืองที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอีกเมืองหนึ่ง ใครจะมาที่นี่แนะนำว่าให้มาฤดูหนาวนะคะ เพราะในช่วงหน้าหนาวอากาศบนเกาะฮอกไกโดอุณหภูมิจะติดลบ มองไปทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะสีขาวสุดแสนโรแมนติก ส่วนคลองโอตารุ (Otaru Canal) มีแม่น้ำโค้งเลียบอ่าวที่ไหลผ่านใจกลางเมืองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตอนนี้    สมัยก่อนเคยเป็นเมืองท่าที่ใช้สำหรับขนถ่ายสินค้าไปยังคลังสินค้าตามแนวคลอง ปัจจุบันคลองนี้ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้ใช้ส่งสินค้าแล้ว ครองโอตารุแห่งนี้ มีร้านค้า และร้านขายอาหารด้วย ในช่วงกลางวันจะมีศิลปินมาแสดงผลงานศิลปะต่างๆให้ชมกัน ส่วนตอนกลางคืนจะมีการจุดตะเกียงประดับไฟ สร้างบรรยากาศแสนโรแมนติก บริเวณริมคลองนี้ในช่วงฤดูหนาวมีการจัดงานเทศกาลโอตารุ สโนว์สตอรี่ (Otaru Snow Story) เป็นงานที่แต่งแต้มสีสันให้กับทิวทัศน์ โดยจะมีการประดับไฟสวยงาม ส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางหิมะสีขาว    ทุกปีในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ใครที่มาเที่ยวหน้าหนาวต้องชอบมากแน่ๆ บรรยากาศหิมะตกหนายาวตามลำคลอง เข้ากับสถานที่มากๆ ฤดูอื่นสีสันก็ไม่แพ้กันนะคะ สวยสะกดทุกฤดูกาลจริงๆ ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กดังที่คนไทยและต่างชาตินิยมมากัน แนะนำมาตอนกลางคืนยิ่งสวย เพราะจะมีการเปิดโคมไฟก๊าซโบราณ ทำให้บรรยากาศริมคลองโรแมนติกขึ้น เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เลยทีเดียวค่ะ ในยามค่ำคืนจะมีผู้คนมาเดินเล่นเยอะเป็นพิเศษ      สถานที่แห่งนี้เที่ยวชมฟรี 24 ชั่วโมง เปิดให้บริการทุกวัน ในช่วงวันหยุดคนจะเยอะหน่อย และบางทีวันหยุดสุดสัปดาห์ก็อาจจะมีนักดนตรีมาบรรเลงเพลงโชว์ผลงานให้แก่นักท่องเที่ยวได้ชมกันเพลิดเพลิน บรรยากาศดี อาหารอร่อย และบริเวณใกล้เคียง ยังมีตลาดสดที่มีอาหารทะเลสดมากมายให้ไปลิ้มลอง เพราะว่าโอตารุเขาขึ้นชื่อเสียงด้านของทะเลสด เพราะอยู่ติดทะเล และด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้พวกอาหารทะเลมีความสดใหม่เป็นพิเศษ และมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา ของเขาขึ้นมาสดๆจากทะเลอยู่แล้ว ภายในตลาดยังมีร้านขายอาหารตามสั่ง หรือทำให้กินกันสดๆ เลือกวัตถุดิบแล้วให้ร้านค้าทำให้นั้นเอง แต่เมนูยอดฮิตส่วนมากจะเป็นจำพวกซาชิมิของสด ส่วนราคาก็ดีงามเริ่มต้นแค่ 700 บาทไทยเท่านั้นเอง แต่ต้องมีความอดทนรอคิวหน่อยนะคะ เพราะว่าคนเยอะมาก แทบทุกร้าน แต่ก็ต้องจำยอมเพราะของเขาดีจริงๆ บอกเลยว่าอาหารแต่ละอย่างคุ้มค่ากับการรอคอยอย่างแน่นอน    เรียกได้ว่าไปที่ๆเดียวแต่ได้เที่ยวทั้งบรรยากาศและกินอาหารทะเลสดอร่อยๆ ถือว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนแน่นอน สถานที่เที่ยวใกล้เคียงแอดขอแนะนำ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) ตั้งอยู่ภายในอาคารโบราณของเมืองโอตารุซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1912 ด้านหน้าอาคารจะมีนาฬิกาขนาดใหญ่ ที่รัฐบาลแคนาดามอบให้เป็นของขวัญแก่ประเทศญี่ปุ่นตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนภายในอาคารนั้นเป็นห้องโถงใหญ่ที่มีความสูงถึง 9 เมตร    นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก หรือเป็นของฝากให้กับคนพิเศษของคุณได้ด้วย และเมื่อมาถุงโอตารุทั้งทีอย่าลืมแวะไปทานซูชิร้านนี้กันนะคะ โอตารุนั้นขึ้นชื่อเรื่องซูชิเป็นอย่างมาก ถ้ามาที่นี่ทั้งทีก็ต้องไม่พลาดซูชิร้านดังระดับ Michelin Star 1 ดาว และยังติด 1 ใน Top ร้านซูชิแนะนำในโอตารุ อย่างร้านอิเซซูชิ (Isezushi) ด้วยคุณภาพของวัตถุดิบที่สดใหม่ และเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล บวกกับความพิถีพิถันของเชฟ ทำให้ซูชิที่นี่พิเศษเป็นอย่างมาก ที่สำคัญร้านนี้ยังมีซูชิบางหน้าที่หาทานยากในเมืองไทยอีกด้วย ขอแนะนำว่าให้โทรจองล่วงหน้า เพราะถ้ามาต่อคิวที่หน้าร้านอาจจะต้องรอคิวนานพอสมควร มาเที่ยวครองโอตารุหนึ่งที่ ได้เที่ยวใกล้ๆอีกหลายที่ใกล้เคียง คุ้มค่ากับการมาเยือนแล้วค่ะ

งานเทศกาลสำคัญและน่าสนใจของประเทศญี่ปุ่น

งานเทศกาลสำคัญและน่าสนใจของประเทศญี่ปุ่น

395

   ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่นักท่องเที่ยว ต่างหลงใหลไปชมความสวยงามตามสถานที่ และท่องเที่ยวตามเทศกาลต่างๆของทางญี่ปุ่นที่ได้จัดขึ้น และแต่ละเทศกาลก็มีจุดสำคัญและไฮไลท์แตกต่างกันไป ประเทศญี่ปุ่นนั้น ถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่จัดกิจกรรมและเทศกาลมากเป็นอันดับต้นๆ ในตลอดทั้งปี แทบจะไม่ว่างเว้น เราจึงสามารถไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นได้ตลอดไม่ว่าจะฤดูไหนๆ คำว่าเทศกาลของชาวญี่ปุ่นนั้น คือ การเดินตามรอยเทศกาลโบราณที่มีมานาเป็นการสืบทอดต่อๆกันมา เทศกาลนูมาตะ    ในช่วงนูมาตะอันมีสีสันที่จัดเป็นเวลา 3 วันนี้ ผู้หญิงหลายร้อยคนจะแบกศาลเจ้าเคลื่อนที่ ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นไปทั่วเมือง ซึ่งศาลเจ้านี้เรียกว่า “ไดเท็งงุมิโคชิ” มีลักษณะเป็นหน้ากากเท็งงุ ภูตจมูกยาวผิวสีแดงก่ำ เท็งงุเป็นภูตทรงพลังที่คอยปกปักรักษาซึ่งเชื่อกันว่าช่วยขับไล่วิญญาณร้ายและนำพาโชคดีมาให้ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ขนาดเล็กที่เรียกว่ามิโคชิอีกประมาณ 30 ถึง 40 แท่นก็จะแห่ไปตามท้องถนนเช่นกัน มีการประโคมเสียงเพลงเฉลิมฉลองแบบดั้งเดิมไปทั่วเมือง ช่วยเพิ่มความครึกครื้นให้กับเทศกาล ทุกปีจะมีผู้คนมาที่นูมาตะราว 200,000 คนเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองนี้เทศกาลโอจิมะ เนปุตะ   ขบวนแห่ประดับไฟและตกแต่งอย่างประณีตงดงามซึ่งเรียกว่า เนปุตะ นี้จะเคลื่อนผ่านโอตะตลอดสองวันที่จัดงาน เทศกาลโอจิมะ เนปุตะ รถแห่รูปทรงคล้ายพัดกว่า 10 คัน ซึ่งบางคันสูงกว่า 7 เมตรนี้จะแห่ไปทั่วเมืองขณะที่มีการตีกลองและฝูงชนขับร้องบทเพลง กลองสไตล์ดั้งเดิมบางตัวมีความสูงกว่า 3 เมตร เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่ค่อนข้างใหม่ในกุนมะ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1986 กุนมะได้รับประเพณีนี้มาจากเมืองฮิโรซากิในจังหวัดอาโอโมริ ในครั้งที่เมืองฮิโรซากิสร้างความสัมพันธ์แบบเมืองพี่เมืองน้องกับเมืองโอจิมะ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโอตะ) ทุกปีจะมีผู้มาเยือนในพื้นที่ประมาณ 160,000 คนเพื่อชมขบวนแห่นี้เทศกาลมาเอะบาชิ ฮัตสึอิจิ   ตุ๊กตาดารุมะซึ่งเป็นที่นิยมทั่วประเทศญี่ปุ่นและเชื่อว่านำโชคมาให้นี้มีต้นกำเนิดที่กุนมะ ผู้คนจะขอพรจากตุ๊กตานี้เป็นประเพณีสืบต่อกันมา และจะนำมาเผาในช่วงปีใหม่เพื่อแสดงความขอบคุณต่อตุ๊กตาที่ช่วยนำพาโชคลาภมาให้ในปีที่ผ่าน เทศกาลมาเอะบาชิ ฮัตสึอิจิ มาอันแสนคึกคักที่มีมาตั้งแต่ราวทศวรรษ 1600 จะให้คุณได้เห็น ตุ๊กตาดารุมะ จำนวนหลายพันตัวถูกเผาในกองไฟ รวมถึงมีขบวนแห่พร้อมนักเต้นระบำและศาลเจ้าเคลื่อนที่ แผงขายอาหาร พืชพรรณ และเครื่องรางต่าง ๆ ด้วย เทศกาลคิริว ยางิบุชิ   ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้เข้าร่วม เทศกาลคิริว ยางิบุชิ จะเดินไปตามถนนเพื่อแสดงการเต้นรำประกอบจังหวะการตีกลอง งานในตอนเย็นเป็นงานที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดเมื่อมีการจุดโคมไฟบนแท่นสูงตระหง่านให้ความสว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน กิจกรรมน่าดึงดูดอื่น ๆ ได้แก่ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ที่เคลื่อนตัวไปตามถนนและขบวนแห่เครื่องแต่งกายสีสันสดใส   ซึ้งแต่ละเทศกาลก็จะมีสีสันและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป นี่เป็นเพียงตัวอย่างเทศกาลดัง ที่แอดยกตัวอย่างมาให้ชมกันคร่าวๆ พอหอมปากหอมคอ จริงๆแล้วเทศกาลของญี่ปุ่นนั้นมีเยอะแยะมากมายไว้เดี๋ยวแอดจะมาลงอัพเดทเทศกาลต่างๆให้ชมใหม่ในครั้งหน้านะคะ

ตลาดคุโรมง (kuromon market) ตลาดโอซาก้า

ตลาดคุโรมง (kuromon market) ตลาดโอซาก้า

537

    วันนี้แอดจะพามาตะลุยตลาดคุโรมง หาของกินอร่อยๆ แจกพิกัดตลาดดังและร้านอาหารยอดฮิตที่คนไทยนิยมไปกันเป็นส่วนมาก นั้นคือ ตลาดคุโรมง (kuromon market) ที่คนไทยหลายคนเรียกว่า ตลาดปลาโอซาก้านั้นเอง เป็นตลาดที่มีของขายมากกว่าเรื่องของปลา เพราะนอกจากจะเด่นเรื่องปลาแล้วยังมีอาหารทะเลอีกมากมาย เป็นแหล่งรวมวัตถุดิบชั้นเลิศจนได้รับฉายา    ครัวของโอซาก้าเปรียบเสมือนห้องครัวหรือตู้เย็นที่มีวัตถุดิบทุกอย่างที่รวมกันอยู่ที่ตลาดแห่งนี้ นอกจากร้านขายอาหารทะเลสดแล้ว ยังมีร้านอาหารอร่อยให้น่าลิ้มลอง ตลาดแห่งนี้เป็นที่ยอดฮิตของชาวนักกินมากมาย นักชิมที่ชอบลองอาหารใหม่ๆ ที่นี้มีเมนูอาหารวัตถุดิบจากท้องทะเลมากมากกว่า 100+ รายการ มีร้านสตรีทฟู๊ด เยอะแยะเรียงรายเป็นแถวให้เลือกมากกว่า 100+ ร้านเช่นกัน  และร้านขายของทะเลสดมากกว่า 200+ ร้านเลยทีเดียว    ตลาดคุโรมงแห่งนี้ ตั้งอยู่ในย่านมินามิ อนูใจกลางโอซาก้า ตลาดปลาโอซาก้าแห่งนี้ที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน เป็นตลาดเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ แห่งหนึ่ง สัญลักษณ์ที่ทำให้หลายๆ คนจำที่นี่ได้คือใต้หลังคาของตลาดจะมีสัตว์ทะเล อาทิ ปลาหมึก ปลา ปู อวดโฉม คอนเฟิร์มความเป็นตลาดปลาโอซาก้าได้เป็นอย่างดี นอกจากร้านสตรีฟู้ดที่แสนอร่อยจะเยอะแล้ว ราคาอาหารทะเลที่นี้ก็ดีงามจนพูดกันปากต่อปาก ถึงกับว่าถ้าบ้านไหนอยากกินอาหารทะเลหรือมีการเลี้ยงจัดสรร หรืออยากทำอาหารทะเลกินกันภายในครอบครัว ก็ต้องนึกถึงตลาดคุโรมงแห่งนี้เป็นที่แรกแน่นอน   นอกจากเด่นในเรื่องอาหารทะเลแล้ว ตลาดแห่งนี้ยังมีร้านขายเต้าหู้ยอดฮิตที่ใครไปตลาดแห่งนี้ต้องไม่พลาด Takahashi Shokuhin คือร้านขายเต้าหู้เก่าแก่ที่ดำเนินกิจการมายาวนาน เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเต้าหู้และถั่วเหลืองเลยก็ว่าได้ นอกจากเต้าหู้สดรสชาติดี ร้านนี้ยังมีเมนูเด็ด ไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้หอดหลากรส เมนูเต้าหู้ หรือทีเด็ดอย่างนมถั่วเหลืองโฮมเมดที่อร่อย เข้มข้นสุดๆ และคุโรมงแห่งนี้ก็ยังมีร้านอาหารประเภทอื่นเช่นร้าน Nikuhoshi เนี่ยถือว่าเป็นร้านเนื้อที่มีเนื้อให้เลือกหลายเกรด มีเมนูหลากหลาย นั่งกินในร้านได้ชิลล์ๆ จะกินเนื้อย่างแบบเป็นไม้ สเต็ก หรือเมนูไหน ระดับเนื้อ A4 หรือ A5 ก็มีให้เลือก    ภายในตลาดแห่งมีร้านขายของฝากเยอะมาก อย่าลืมแวะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยนะคะ ตลาดคุโรมงแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นแหล่งช้อป แหล่งกินฟินๆ ของโอซาก้ากันเลยทีเดียว บางคนถึงกับให้คำนิยามว่า มาญี่ปุ่นทั้งทีไม่มาที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึง และหากใครไปเที่ยวโอซาก้าแล้วอยากกินอาหารทะเลต้องห้ามพลาดที่ตลาดแห่งนี้เลย อาหารทะเลสดไหม่ทุกวันสามารถนั่งทาน ยืนทานกันแบบสดๆได้เลย มีพ่อค้าแม่ค้าค่อยให้บริการ และคนญี่ปุ่นใจดีกันมากๆค่ะ รับรองติดใจจนอยากย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆเลยค่ะ ผู้คนคึกคักทุกวัน เป็นกันเอง ตลาดก็เปิดทุกวันเช่นกัน ลองมาเที่ยวกันดูนะคะ การเดินทาง   สำหรับการเดินทางมาที่ตลาดแห่งนี้นั้นมีความสะดวกสบายมากๆ มีสถานีรถไฟอยู่ใกล้ตลาดที่ใกล้ที่สุดคือ สถานี Nippombashi (รถไฟ Osaka Metro Sennichimae Line) โดยใช้ทางออกที่ 10 แล้วเดินต่อเดินอีกเพียง 5 นาทีก็ถึงตลาดแล้วค่ะ 

ทำของหายที่ญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร?

ทำของหายที่ญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร?

346

   สวัสดีค่ะ ทุกคน ไปเที่ยวไกลถึงญี่ปุ่นใครจะไปอยากทำของหายกันล่ะเนาะ ไปญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากไปเที่ยวอย่างสบายใจ เพราะญี่ปุ่นเป็นเมืองที่มีเสน่ห์อันงดงาม เป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคนที่อยากมาเยือนประเทศแห่งนี้ เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่า มีสถานที่เที่ยวที่สวยที่สุด และวัฒนธรรมด้านอาหารที่อร่อยโด่งดังไปทั่วโลก รอคอยเราไปสัมผัสอีกตั้งมากมาย แต่กลับต้องมาวุ่นวายเสียเวลา เพราะทำของหาย ยิ่งถ้าของสิ่งนั้นมีความจำเป็นกับเรามากๆ เช่นเงินที่มากพอสมควรหรือพาสปอร์ต ก็ว้าวุ่นกันเลยทีเดียว เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาให้เจอให้ได้ ไม่อย่างนั้นหมดสนุกอย่างแน่นอน แต่มันก็เผลอลืมหรือทำหายไปแล้วจริงๆจะทำยังไงได้ เราก็ต้องมาหาวิธีแก้ไขกันต่อไป    สถานที่ยอดฮิตที่คนมักทำของหาย ร้านอาหาร รถไฟ รถบัส รถแท็กซี่ กว่าจะนึกขึ้นได้ก็อยู่อีกสถานที่แล้ว หรือรถโดยสารไปไกลแล้ว แถมสถานที่เมืองชุมชนต่างๆ มันสลับซับซ้อนมากทำใจเราว้าวุ่นเลยทีเดียว ซึ่งเราไม่คุ้นเคยเลยเพราะมันคือต่างประเทศ เราจะทำยังไงดี สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือใครได้บ้าง วันนี้แอดจะมาบอกวิธีตามหาของที่เราลืมหรือทำหาย กันอย่างผู้มีประสบการณ์ค่ะตั้งสติและทบทวนตัวเองจงมีสติ    สติสำคัญที่สุด คุณต้องตั้งสติไล่เรียงเหตุการณ์ให้ดี ว่าเราเอากระเป๋าหรือของสำคัญนั้นวางไว้ตรงไหน ลืมไว้บนรถแท็กซี่ไหม รถไฟไหม ให้ค่อยๆนึกตามไปทีละจุด ถ้ายังหาไม่เจอจริงๆ งั้นลองขอความช่วยเหลือจากผู้คน ที่อยู่ในร้านอาหาร หรือสถานที่เที่ยว ที่เราไปว่าเค้ามีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่อยู่ไหม เพื่อติดต่อสอบถาม และเราต้องบอกลักษณะถุงและกระเป๋าให้อย่างชัดเจนเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือต่อไป แต่ถ้ายังไม่มีใครเจอจริงๆนี่คือที่พึ่งสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจเลยขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง หรือ เจ้าหน้าที่    แม้ญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยและซื่อสัตย์อย่างมาก แต่เวลาเกิดเหตุการณ์ของหาย ขอให้นึกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ก่อนเลย เมื่อคุณเข้าไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับของที่ทำหายไป เช่น หายที่ไหน เวลากี่โมง ยี่ห้อ ขนาด สี รวมถึงเบอร์โทรศัพท์และโรงแรมที่พัก เพื่อติดต่อกลับไปหากมีคนเจอของและเก็บมาส่ง แต่กรณีที่คุณไม่มีเบอร์โทรศัพท์ในญี่ปุ่น คุณสามารถจะกลับไปที่สถานีตำรวจในวันถัดไปหรือหลังจากนั้นอีก 2-3 วัน    ดังนั้น คุณต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนและครบถ้วน แน่ใจว่าตำรวจจะตามสิ่งของให้เราจนเจออย่างแน่นอน ไม่ว่าจะบนแท็กซี่หรือรถไฟต่างๆ ส่วนมากจะเจอนะ ถ้าไม่ถึงกับดวงซวยจริงๆ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก อย่างนั้นคงต้องทำใจ ถ้าเป็นของสำคัญอย่างพาสปอร์ต ก็สามารถปรึกษาตำรวจขอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป เพราะพาสปอร์ตสำคัญมากในการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น    จำไว้นะคะว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เกินที่เราจะจัดการแก้ไขเองได้แล้ว ควรนึกถึงตำรวจเลยค่ะ เพราะเป็นการแก้ปัญหาและที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้วค่ะ และก็ไม่ต้องตกอกตกใจขวัญเสียกันไปนะคะ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ ขอเพียงแค่ทุกคนมีสติ แค่นี้เราก็จะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆได้อย่างราบรื่น ขอให้ทุกคนเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างมีความสุขนะคะ

ทำความรู้จัก ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

ทำความรู้จัก ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

458

   สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้แอดจะพามารู้จักกับปราสาทฮิเมจิ หรืออีกชื่อในนามปราสาทนกกระสาขาวนั้นเอง ปราสาทฮิเมจิ คือ ปราสาทที่ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่แห่งหนึ่งที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิงจากปี พ.ศ 2538 ยังถูกยกให้เป็นมรดกโลก และเป็นมรดกโลกชิ้นแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย ปราสาทฮิเมจิมีความเก่าแก่กว่า 600 ปี ยังมีป้อมปราการชุดแรกสร้างขึ้นในช่วงยุค 1400 เนื่องจากที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อใช้ป้องกันทิศตะวันตกของเมืองเกียวโต กลุ่มปราสาทในปัจจุบันสร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2452 ภายใต้การควบคุมดูแลของขุนนางไดเมียวที่ชื่อ อิเคดะ เทรุมาซะ    ปราสาทแห่งนี้ประกอบด้วยอาคารมากกว่า 80 หลังเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางต่างๆ ที่คดเคี้ยวเหมือนเขาวงกต และประตูโอเตะมงเป็นประตูหลักของปราสาทฮิเมจิ จากประตูนี้คุณสามารถเข้าไปยังพื้นที่ของปราสาทที่เปิดให้เข้าได้ฟรีบางส่วน อย่างตรงกำแพงชั้นนอกลำดับที่สาม หรือที่เรียกว่า ซันโนะมารุ พื้นที่ส่วนนี้ของปราสาทมีสนามหญ้ากว้างที่เต็มไปด้วยต้นซากุระจำนวนมาก ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมในการปิกนิกชมดอกซากุระ เมื่อเดินผ่านประตูฮิชิเข้าไปก็จะเป็นส่วนที่ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าชมปราสาท หลังจากที่ซื้อตั๋วจากบูธขายตั๋วใกล้กับประตู ราคาค่าตั๋ว 1,000 เยน ผู้มาเยี่ยมชมก็สามารถเดินเข้าตามทางแคบๆ ของปราสาทชั้นใน ไปยังอาคารหลักสูงหกชั้นได้    คุณสามารถเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของปราสาทได้ ยิ่งคุณเดินขึ้นไป แต่ละชั้นก็จะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากป้ายคำอธิบายลักษณะทางสถาปัตยกรรมและประโยชน์ในการป้องกันภัยที่สำคัญของปราสาทแล้ว ภายในก็ไม่ได้ประดับตกแต่งอะไรมาก ที่ชั้นบนสุดของปราสาทเป็นศาลเจ้าเล็กๆ และจุดชมวิวทิวทัศน์ให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ทอดสายตามองปราสาทฮิเมจิและเมืองที่อยู่ด้านนอก นอกจากนี้คุณยังสามารถเดินไปยังกำแพงทางทิศตะวันตก หรือนิชิโนะมารุที่อยู่ภายในพื้นที่ที่ต้องจ่ายค่าเข้าของปราสาทได้    โดยพื้นที่นี้มีทิวทัศน์ที่งดงามของอาคารหลักของปราสาท และในบริเวณปราสาทมีต้นซากุระเรียงรายมากกว่า 1,000 ต้น คุณสามารถชมดอกซากุระจากพื้นที่รอบนอกได้ฟรี แต่ถ้าต้องการชมดอกไม้ตรงพื้นที่ด้านในปราสาทจะต้องเสียค่าเข้าชม และปฏิเสธไม่ได้ว่าปราสาทแห่งนี้จะงดงามที่สุดในฤดูซากุระผลิบาน ซึ่งเป็นช่วงที่ปราสาทมีคนพลุกพล่านมากที่สุด ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนเดินทางมายังปราสาทแห่งนี้ เพื่อปิกนิกและถ่ายรูปดอกซากุระผลิบาน หากคุณไม่ชอบคนพลุ่กพล่าน และอยากชมปราสาทอย่างเงียบ ๆ ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงหน้าซากุระ อาจจะมีการจำกัดจำนวนตั๋วเข้าชมอาคารหลักของปราสาทด้วยในช่วงซากุระบาน การเดินทาง   การเดินทางจากเมืองฮิเมจิไปประสาทฮิเมจิ เดินทางโดยรถบัสหลังจากถึงสถานี Sanyo Himeji Station เราสามารถเดินเท้าไปยังปราสาทฮิเมจิได้เลย โดยใช้เวลาราวๆ 20 นาที เวลาปิด-เปิด เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 ประตูปิด 16.00 อัตราค่าเข้าชม ค่าเข้าชมภายในตัวปราสาทสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปราคาจะอยู่ที่ 1000 เยน ราคานักเรียนจะอยู่ที่ 300 เยน

เที่ยวทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita)

เที่ยวทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita)

531

   รู้หรือไหมว่าฮอกไกโด เกาะทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุด นั้นก็คือทุ่งลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ เป็นฟาร์มที่ตั้งอยู่ในเมืองนากะฟุราโนะ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ฟาร์มแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1903 ก่อนที่ในปี 1958 จะได้มีการเริ่มปลูกต้นลาเวนเดอร์เพื่อใช้ทำน้ำมันหอมระเหย โดยมีพื้นที่กว้างกว้างสุดประมาณ 1,400 ไร่ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แวะเวียนมาเยี่ยมชมดอกลาเวนเดอร์สีม่วงนี้มากมาย    ตั้งแต่นั้นมาก็ได้เริ่มพัฒนาฟาร์มให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โทมิตะฟาร์มยังมีสวนดอกไม้นานาพรรณอีกมากมาย ไฮไลท์ของทุ่งแห่งนี้ต้องยกให้ ทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วง ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สวยงามราวกับความฝัน ในช่วงต้นเดือน-กลางเดือนกรกฎาคม เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดสวยงามมากค่า ฟาร์มโทมิตะนอกจากทุ่งดอกลาเวนเดอร์แล้ว ยังมีดอกไม้ 7 สีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดอกไม้ 7 สีได้แก่ สีขาว สีม่วง สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีชมพู และสีเขียว ทอดยาวคล้ายกับสายรุ้ง เรียกว่าทุ่งอิโรโดริ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเยี่ยมชมทุ่งอิโรโดริแนะนำช่วง เดือนกรกฎาคมค่ะ นอกจากสวนดอกไม้แล้วยังมี แกลลอรี่ เฟลอร์ เป็นพื้นที่จัดแสดงภาพถ่ายของดอกไม้สี่ฤดู สามารถเข้าชมได้ภายในฟาร์ม โดยภายในจะเป็นพื้นที่โล่งกว้างมีภาพถ่ายจากสวนดอกไม้ ติดผนังเรียงรายไว้เยอะแยะมากมาย ให้นักท่องเที่ยวชมกันอย่างเพลิดเพลิน แถมเข้าชมฟรีตลอดทั้งปีไม่มีค่าใช้จ่าย    ฮไลท์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาด มาถึงแล้วต้องมาลองชิม ซอฟท์ครีม ไอศกรีมลาเวนเดอร์ ที่ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์ มีกลิ่นหอมดอกลาเวนเดอร์รสชาติเข้มข้น นอกจากไอศกรีมแล้วยังมีขนมปังอีกมากมายให้ชิมต้องไปลองนะคะ ภายในฟาร์มยังมีสินค้าอีกมาย จัดเป็นร้านขายสินค้าของฝาก ที่ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น สบู่ น้ำมันหอมระเหย ดอกไม้อบแห้ง นำ้หอม อาหาร สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากได้เลย ช่วงเวลาที่เหมาะสม    สวน Spring Field จะมีดอกไม้บานสะพรั่ง เช่น ดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์ ดอกป๊อปปี้ตะวันออก และไม้ยืนต้นอื่นๆ  โดยที่ ช่วงประมาณ เดือน กรกฎาคม จนถึงต้นเดือน สิงหาคม จะเป็นช่วงที่ ดอกลาเวนเดอร์ กำลังบานสะพรั่งเต็มที่เลยค่ะ ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะที่สุดค่ะ   และทุ่งดอกป๊อปปี้สีขาว สีแดง สีชมพูและดอกไม้หลากหลายสีสันที่กระจายอยู่ภายในสวน ซึ่งดอกไม้จะเบ่งบานที่สุดในช่วง ช่วงเดือนกันยายนของทุกปี   สำหรับ ทุ่งดอกทานตะวัน ดอกซัลเวีย และดอกคอสมอส ต่างๆ สามารถรับชมไดตลอดทั้งปีค่ะ หรือทางฟาร์มอาจจะปลูกดอกไม้ใหม่ให้ได้ชมกันอีกมาย สรุปได้ว่าต้องอย่าพลาด ต้องไปให้ได้นะคะวิธีการเดินไปยังฟาร์มโทมิตะ   คุณสามารถนั่งรถไฟ รถบัส หรือขับรถยนต์จากอาซาฮิคะวะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อไปเยือนฟาร์มโทมิตะ หรือจะขับรถยนต์ ซึ่งคือ วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการมุ่งหน้าสู่ฟาร์มโทมิตะ พอมาถึงแล้วก็สามารถ เข้าชมฟรี เปิดตลอด 24 ชั่วโมง    ส่วนร้านค้าภายในฟาร์มเปิด 8:30 - 17:30 น. เที่ยวช่วงไหนดีจะได้ชมสวนเอกไม้อย่างเต็มที่นั่น ก็ต้องบอกว่าตามสมควรช่วงของช่วงเวลาที่เราจะสะดวกได้เลยนะคะ เพราะที่นี่เปิดใหเข้าชมอยู่ตลอดทั้งปี แต่จะมาตรงกับฤดูการไหนมากกว่ากันเท่านั้นเองค่ะ

ชี้ทางเที่ยว แนะเที่ยวประเทศญี่ปุ่นตามฤดูกาล

ชี้ทางเที่ยว แนะเที่ยวประเทศญี่ปุ่นตามฤดูกาล

220

   วันนี้แอดจะมาบอกถึงฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ว่าประเทศญี่ปุ่นเค้ามีกี่ฤดูกาล และแต่ละฤดูกาลแตกต่างกันยังไง การจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสิ่งที่ต้องควรรู้คือฤดูกาลและเดือนเวลาของฤดูกาลนั้นว่าฤดูกาลไหนเพื่อที่เราจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้ถูกกับฤดูกาลบ้านเขาด้วย การใส่เสื้อผ้าให้ถูกกับฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่นนั้นสำคัญมาก หากใส่ผิดอย่างเช่นหน้าร้อน แต่ใส่แขนยาวชุดขน ก็คงจะไม่เหมาะใช่ไหมล่ะ ใช่ว่าต่างประเทศจะมีแต่หิมะและหนาวซะเมื่อไร     ถ้าไม่ศึกษาและเตรียมตัว จะเปลี่ยนปัญหาในภายหลังเมื่อไปเที่ยว แถมยังลำบากในการใช้ชีวิต บางคนอาจจะไปซื้อเอาที่นู้นก็ได้ จะได้ไม่ต้องหิ้วอะไรไปเยอะแยะมากมาย แต่คงไม่มีใครจะไปซื้อที่นู้นได้หมดทุกอย่างหรอกเนาะเพราะมันเสียเวลาหาซื้อ แต่สำหรับคนที่เตรียมไป แต่ถ้าเตรียมไปผิด นอกจากจะได้เสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ ยังต้องหนักหิ้วกระเป๋าสัมภาระที่มีน้ำหนักมากขึ้น เผลอๆอาจจะต้องเสียค่าโหลดกระเป๋ากลับเพิ่ม ยิ่งทำให้เสียเงินหลายต่อเข้าไปอีก มานี่เลย วันนี้แอดจะบอกถึงช่วงเดือนและฤดูกาลให้ฟัง จะได้พร้อมไปเที่ยวอย่างสบายใจ ประเทศญี่ปุ่นนับว่ามีทั้งหมด 4 ฤดูกาลด้วยกัน คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิฤดูหนาว   ญี่ปุ่นจะมีช่วงฤดูหนาวประมาณเดือน -ธันวาคม-มีนาคม เป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นมีอากาศที่หนาวที่สุด ในช่วงนี้อุณหภูมิอาจติดลบ -6° - 20°C นักท่องเที่ยวควรเตรียมเสื้อแขนยาวที่หนา หรือเสื้อขนกันหนาวสำหรับใส่ต่างประเทศให้พร้อมเพื่อการอบอุ่นแก่ร่างกาย และรองเท้าสำหรับเดินบนหิมะ เพราะอาจจะมีหิมะตก และได้ไปเที่ยวสถานที่ที่มีหิมะ ฤดูหนาวเป็นไฮไลท์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทยเราชอบหน้าหนาวมาก เพราะอยากเห็นหิมะตกนั่นเอง    สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูหนาวที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น เกาะฮ็อกไก โดซัปโปโร Sapporo , เกาะคิวชูนางาซากิ Nagasaki , เกาะฮอนชู อากิตะ Akita เป็นต้นฤดูร้อน   ช่วงระหว่างเดือน มิถุนายน-สิงหาคม จะเป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นมีความร้อนอยู่ที่อุณหภูมิ 16° - 30°C เสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่ควรหนาเกินไป สามารถใส่สายเดียว เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้นและกระโปรงสั้นได้ตามสบาย เป็นฤดูกาลที่เที่ยวสบายๆ ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ไม่สู้อากาศหนาวมากนัก    สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูร้อน ที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ Farm Tomita , วัดเมเกซึอิน Meigetsuin Temple , ทุ่งลาเวนเดอร์ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ, ทะเลสาบอาชิ Lake Ashi เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ    ฤดูไบไม้ผลิช่วง เมษายน-พฤษภาคม อุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ที่ 2° - 24°C เสื้อผ้าที่ควรใส่  ควรจะใส่เสื้อผ้าที่มีแขนยาวแต่บางไม่ต้องหนาจนเกินไป แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ เพราะสภาพอากาศบางวันอาจไม่เหมือนกัน ฤดูกาลนี้ยังเป็นฤดูกาลยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวมาก โดยเฉพาะชาวไทยที่นิยมไปกันอย่างมาก เพราะอากศบ้านเรานั้นจะร้อนจัดช่วงนี้ เลยต้องหนีร้อนไปพึ่งหนาวกันส่วนไหญ่   สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูใบ้ไม้ผลิ ที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น สวนอุเอโนะ Ueno Park , เทศกาลฟูจิชิบะซากุระ Fuji Shibazakura Festival , สวนดอกไม้อาชิคางะ Ashikaga Flower Park , ปราสาทฮิโรซากิ Hirosaki Castle เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง   กันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ที่ 7° - 27°C อากาศช่วงนี้ถือว่าหนาวพอสมควร สำหรับคนไทยเรา แต่เป็นหนาวที่เดินสบายๆ เหมาะกับการชมวิวทิวทัศน์จากดอกซากุระเบ่งบานทั่วเมือง เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมมามากที่สุด เสื้อผ้าที่ควรสวมใส่ ต้องสามารถกันหนาวกันลมได้เป็นอย่างดี    สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูใบไม้ร่วง ที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น ทะเลสาบคาวากุจิ Kawaguchiko , ทะเลสาบโทวาดะ Lake Towada , มิคุนิพาส Mikuni Pass , เกาะอิทสึคุชิมะ Itsukushima , วัดบิชามอนโด Bishamon-do Temple    เห็นไหมล่ะว่าถ้าเรารู้จักฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ว่าแต่ละช่วงเดือน มีอุณหภูมิที่เท่าไหร่กันบ้าง ก็ง่ายต่อการจัดกระเป๋าพร้อมเตรียมตัวออกเดินทาง ไปเที่ยวกันอย่างสบายใจ และเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้อย่างถูกต้อง เช่นถุงมือหมวก รองเท้า หรือสิ่งของอย่างอื่นก็ง่ายขึ้น ขอให้ทุกคนท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุขนะคะ

ธรรมชาติน่าเที่ยว แห่งเขาซึรุมิเมืองเบปปุ ญี่ปุ่น

ธรรมชาติน่าเที่ยว แห่งเขาซึรุมิเมืองเบปปุ ญี่ปุ่น

193

วันนี้จะมาแนะนำอีกหนึ่งสถานที่ ที่ควรไปเช็คอิน ชมวิวธรรมชาติกันค่ะ สถานที่สวยๆธรรมชาติอากาศดีแบบนี้ต้องให้ยอดเขาซึรุมิแน่นอน ยอดเขาซึรุมินั้น ตั้งอยู่ในเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะคิวชูค่ะ เมืองเบปปุ เป็นเมืองที่โด่งดังมากๆ ในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อนค่ะ เพราะเป็นเมืองที่มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นนิยมแช่นำ้พุร้อนธรรมชาติกันมากเลยทีเดียว วัฒนธรรมแช่น้ำร้อนของคนญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลาย ช่วยให้หายเหนื่อยล้า สบายตัว ดีต่อสุขภาพ ต่อจากการแช่นำ้พุร้อนแล้ว มาขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปท่องเที่ยวบนยอดเขาซึรุมิกันต่อค่ะ    โดยจะมีจุดขึ้นกระเช้าไฟฟ้าให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวธรรมชาติจากความสูง สามารถชมความงดงามของเขาซึรุมิได้ทั้งหมดสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว โดยกระเช้านั้นจะค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆไปสู่ยอดเขา ช่วงกระเช้ากำลังขึ้นสู่ยอดเขาเราก็จะเห็นวิวจากภูเขาลูกอื่นๆด้วย แล้วยังมีอ่าวเบปปุที่สวยงามกว้างขวาง และวิวจากต้นไม้เขียวชะอุ้ม เมื่อเราถึงยอดเขาแล้ว เราก็จะเจอกับศาลเจ้าค่ะ รอบๆศาลเจ้ามีวิวจุดเด่นที่ทุกคนที่ไปจะเก็บภาพวิวแถวนั้นกัน เพราะสวยและมองไปได้ไกลมาก โดยวิวรอบๆก็จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูที่ไปด้วยนะคะ    ยอดเขาซึรุมิถื อว่าเป็นยอดเขาที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเบปปุมากที่สุดค่ะ ในช่วงหน้าหนาว ยอดเขาซึรุมิเป็นจุดแรกที่หิมะจะตกลงมาค่ะ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากชาวเมืองเบปปุอยากเล่นหิมะ ก็มักจะพาลูกๆ หลานๆ มาเล่นหิมะกันที่นี่ เป็นที่แรกค่ะ ได้บรรยายหิมะแรก พร้อมท่องวิวสวยๆ เหมาะกับการพาครอบครัวมาพักผ่อน หย่อนใจ ชมธรรมชาติ ได้สร้างกิจกรรมภายในครอบครัวไปในตัวอีกด้วย โดยการขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขาซึรุมินี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสูง 1,375 เมตร จากยอดเขามีทิวทัศน์มุมกว้างแบบพาโนราม่าที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว    ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแล้ว จึงสามารถพบเห็นดอกไม้และต้นไม้ต่างๆ ได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี สำหรับใครที่ยังไม่มีที่เที่ยวในใจ แอดขอแนะนำยอดเขาซึรุมิ ไว้เป็นอีกหนึ่งที่ ที่คุณมาแล้วจะต้องประทับใจแน่นอนและต้องกลับมาอีกแน่ๆ แต่ที่นี่ก็ยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมฟรี ยังคงเก็บค่าบริการตลอดทั้งปี แต่ถ้าเทียบกับราคา และได้ขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 1,600 เยน ( ที่นี่รับเฉพาะเงินสดเท่านั้นนะคะ ) ราคา ค่าเข้า ค่าขึ้นกระเช้าไฟฟ้า อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย ในแต่ละฤดูกาลราคาจะไม่คงที่ กระเช้าไฟฟ้าจะออกทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาบนกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาน่าจะราวๆประมาณ 10 นาทีได้ค่ะ ที่นี่เปิดบริการทุกวันไม่มีวันหยุด เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. นะคะ การเดินทางวิธีการเดินทาง จากตัวเมืองเบปปุ สามารถเดินทางมาได้โดยการนั่งรถบัสหรือขับรถมาค่ะ จากตัวเมืองเบปปุ หากเดินทางด้วยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพื่อมาถึงยังจุดขึ้นกระเช้าค่ะวิธีการเดินทางโดยการนั่งรถบัส Kamenoi Bus จากหน้าสถานี JR Beppu Station (ทางออกฝั่งตะวันตก) โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที

สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าของญี่ปุ่น ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)

สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าของญี่ปุ่น ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)

393

    วันนี้จะพามาทำความรู้จักปราสาทนาโกย่าอันโอฬารของญี่ปุ่น สัญลักษณ์ของเมืองซามูไรกันค่ะ ประวัติและความเป็นมาของประสาทแห่งนี้ มีประวัติที่ยาวนาน ในสมัยเอโดะ (1603-1868) นาโกย่าเป็นหนึ่งในเมืองปราสาทที่สำคัญที่สุด และปราสาทนาโกย่าก็เป็นที่พำนักของตระกูลโอวาริโทคุกาวะ หนึ่งในสามสายสกุลโทคุกาวะที่มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็นโชกุน อีกทั้งยังเป็นแนวหน้าในการป้องกันเมืองเมื่อสู้รบกับโอซาก้าด้วย ปราสาทนาโกย่าประดับหลังคาด้วยรูปหล่อปลาโลมาทองคำระยิบระยับ 18 กะรัต สูง 2 เมตรที่น่าประทับใจ และเป็นหอคอยปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ     โดยการก่อสร้างป้อมปราการเริ่มขึ้นในปี 1610 และเสร็จสมบูรณ์ 2 ปีหลังจากนั้น ท่านโทคุกาวะ อิเอะยะสุ โชกุนผู้มีเล่ห์เหลี่ยม ได้สร้างปราสาทขึ้นโดยไม่ใช้ทรัพย์ส่วนตัวใดๆ ด้วยการสั่งให้ 20 ขุนพลที่เคยเป็นศัตรูมาก่อนก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างนี้จนเสร็จ โดยการจัดหาและขนส่งหินใหญ่หลายตัน วัสดุก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายแรงงานนั้น เป็นภาระการเงินที่หนักหนาแก่ขุนพลทั้งหลาย ซึ่งป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้จ่ายกับอาวุธ ชุดเกราะ และกองทัพ ส่งผลให้โอกาสการแข็งข้อลดลงตามมา ส่วนใครก็ตามที่ปฏิเสธจะให้ความร่วมมือก็จะถูกกำจัด และเพื่อแสดงความยินยอมอยู่ในโอวาท หลายคนก็ได้สลักตราประจำตระกูลลงบนก้อนหินที่พวกเขาหามา      เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดี โดยตราประจำตระกูลเหล่านี้ยังสามารถพบเห็นได้บนกำแพงหิน และการตามหาตราที่หลากหลายเหล่านี้ ก็กลายเป็นอีกกิจกรรมเสริมที่น่าสนุก และภายในปราสาทแห่งนี้จะมีภาพวาดอยู่ภายในเยอะแยะมากมาย เรียงรายตามผนัง โดยภาพวาดก็จะมีเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยก่อนต่างๆกันไป แต่ไม่สามารถเข้าชมได้ สามารถเดินดูได้แค่รอบๆปราสาทเท่านั้น แต่ถึงจะแค่ภายนอกก็สวยงามจนต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปกันแทบไม่ไหว เรียกได้ว่าประวัติและความเป็นมายาวนานจริงๆ      ปราสาทนาโกย่า มีพระราชวังและโครงสร้างที่เหลือที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีที่สุดเทียบกับปราสาททั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นและได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1945 เพียงไม่กี่เดือนก่อนญี่ปุ่นจะยอมแพ้ ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกันได้ถล่มปราสาท ป้อมปืน ประตู กำแพง และพระราชวังที่สง่างามจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน โดยมีเพียงหอคอย 3 แห่งและประตู 2 แห่งเท่านั้นที่รอดจากไฟนรกนี้ หอคอยปราสาทถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1959 โดยมีนิทรรศการพิเศษจัดขึ้นเป็นประจำที่ห้องจัดแสดงบนชั้น 2 ขณะที่ชั้น 3 ได้จัดแสดงสภาพแวดล้อมของเมืองปราสาทที่จำลองขึ้นมาใหม่ มีชุดเกราะและอาวุธซามูไรจัดแสดงบนชั้น 4 ส่วนชั้น 5 จัดแสดงประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งของปราสาทนาโกย่า และชั้นสูงสุดเป็นดาดฟ้าสังเกตการณ์และร้านขายของที่ระลึก     ทั้งนี้ มีคำอธิบายภาษาอังกฤษที่จะทำให้การเที่ยวชมของคุณเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ณ ใจกลางของปราสาทนาโกย่าที่ทรงพลังด้วยกำลังทหารและล้อมรอบด้วยป้อมปราการ 2 หลังและหอคอยหลายแห่ง คือพระราชวังฮมมารุ ซึ่งพระราชวังที่ล้ำเลิศนี้ ถูกออกแบบเป็นที่พักอาศัยของขุนพลผู้ครองปราสาทและเป็นที่พักของโชกุนในภายหลัง และมีสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในงดงามเรียบง่าย อาคารทั้งหลังก่อสร้างด้วยไม้สนฮิโนกิคุณภาพสูงอันล้ำค่า และตกแต่งอย่างหรูหราด้วยภาพวาดมากสีสันบนแผ่นทองบริสุทธิ์ ด้วยรูปเสือ เสือดาว นกและสัตว์มงคล และต้นไม้และดอกไม้ ท่านโทคุกาวะ อิเอะยะสุ รู้สึกประทับใจมาก เลยได้สั่งให้สร้างพระราชวังที่คล้ายคลึงกันอีกหลังในเกียวโต (พระราชวังแห่งนั้นก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็ยังด้อยกว่าพระราชวังนาโกย่า) โดย 1 ปีหลังจากสร้างเสร็จสมบูรณ์ ท่านโทคุกาวะ โยชินาโอะ บุตรของท่านอิเอะยะสุและเจ้าเมืองคนแรกของนาโกย่าได้ย้ายออกจากพระราชวังหลักไปยังพระราชวังโอ่อ่าไม่แพ้กันในป้อมปราการหลังที่สองที่อยู่ติดกัน และประกาศให้พระราชวังฮมมารุใช้สำหรับรับรองการมาเยือนของโชกุนเท่านั้น      พระราชวังแห่งนี้่ถูกใช้เพียงประมาณ 5 ครั้งในระยะเวลา 250 ปีต่อมา จึงได้รับการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และภายหลังจากการสิ้นยุคศักดินาของประเทศญี่ปุ่น พระจักรพรรดิสามพระองค์ได้ทรงใช้พระราชวังนี้เป็นที่ประทับในฤดูร้อนระหว่างปี 1893 ถึง 1930 เป็นประจำ แม้น่าเสียดายที่พระราชวังถูกทำลายระหว่างการโจมตีทางอากาศในปี 1945 แต่งานศิลปะสำคัญหลายชิ้นก็ได้ถูกนำออกไปจัดเก็บล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำลาย พระราชวังฮมมารุได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบดั้งเดิมสามส่วน โดยส่วนแรกเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 2013 ส่วนที่สองในเดือนมิถุนายน 2016 และสร้างเสร็จเรียบร้อยในปี 2018 และนี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ยาวนานที่เล่าต่อๆกัน  จนกลายมาเป็น ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) มาญี่ปุ่นลองมาสักครั้งในชีวิต รับรองว่าคุ้มค่าตั๋วที่มาไกลจากต่างแดนแน่นอน ค่าบริการ    มีเก็บค่าเข้าชมด้วยนะคะ  อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่: 500 เยน นักเรียนมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ไม่เสียค่าเข้าชม ผู้สูงอายุที่อาศัยในเมืองนาโกย่า ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 100 เยน อาจต้องมีการยืนยันตัวตนและหลักฐานความเป็นผู้อาศัยสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป (บัตรประกันสุขภาพ, ใบขับขี่, พาสปอร์ต เป็นต้น)วิธีการเดินทาง    การเดินทางโดยรถไฟ    เดินไปทางตะวันตก 5 นาที จากทางออก 7 ของสถานีชิยะคุโช รถไฟใต้ดินสายเมโจ (ขึ้นรถไฟที่วิ่งตามเข็มนาฬิกาจากสถานีซาคาเอะ ซึ่งสามารถมาได้โดยรถไฟที่มุ่งหน้าไปซาคาเอะหรือฟูจิกะโอคะ จากสถานีนาโกย่า รถไฟสายฮิกาชิยามะ) จากสถานีรถบัสนาโกย่า ขึ้นรถบัสท่องเที่ยวนาโกย่า เมกุรุ เพื่อไปยังปราสาทนาโกย่า (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที)    การเดินทางโดยรถยนต์    ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 8 นาที จากทางออกคุโระคาวะ บนทางด่วนนาโกย่า R1 เส้นคุซุโนะคิ หรือ ไปทางทิศเหนือประมาณ 5 นาที จากทางออกมารุโนะอุจิ บททางด่วนนาโกย่า เส้นวงแหวน

พระราชวังอิมพีเรียล หัวใจหลักกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

พระราชวังอิมพีเรียล หัวใจหลักกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

394

   สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะพามาทำความรู้จักกับพระราชวังอิมพีเรียลกันค่ะ เพื่อว่าใครไปญี่ปุ่นแล้วนึกที่เที่ยวไม่ออก แอดขอแนะพระราชวังอิมพีเรียล พระราชวังอิมพีเรียลมีประวัติและความเป็นมายังไงบ้างไปดูกันเลยค่ะ พระราชวังอิมพีเรียลคือที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชวังแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในเขตพื้นที่เดิมของปราสาทเอโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่ของโชกุนโทคุกาวะก่อนปี ค.ศ.1868 พื้นที่ภายในกว้างใหญ่ มีสวนหย่อม มีคูน้ำไหล สวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก มีพระตำหนักที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะ บริเวณพระราชวังจึงล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหินโบราณสูงเรียงกันเป็นชั้นๆ ตัวโครงสร้างพระตำหนักมีสีขาวเป็นหลัก หลังคาทรงโบราณสลับซับซ้อนสีเทา สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถัน    นอกจากนี้พระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานพิธีสำคัญๆต่างๆที่สำคัญๆอีกด้วย แนะนำให้ลองไปเดินเล่นภายในและบริเวณรอบๆพระราชวังแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนาน พระราชวังแห่งนี้งดงามไปด้วยธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างที่งดงาม ล้ำค่า ละลานตา ให้อารมณ์ย้อนยุคเหมือนพระราชวังสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นฉากที่สวยงามราวกับความฝัน เต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่งสีอมชมพูและใบไม้เปลี่ยนสีเข้ากับพระราชวังแห่งนี้มาก    จุดเด่นจะเป็นความสวยงามของกำแพงโบราณที่สูงสวยงามเรียงด้วยหินอย่างมีระเบียบ มีวิธีการสร้างอย่างโบราณ มีแหล่งคูน้ำธรรมชาติล้อมรอบ ภายในมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ให้ร่มเย็นสีเขียวดูสบายตา และสวนหญ้าขนาดใหญ่ไว้ให้เดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะความสวยงามอันมีเสน่ห์ของพระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ จึงมีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองญี่ปุ่นแวะเวียนกันมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง วันหยุดสุดสัปดาห์คนจะเยอะนิดนึงนะคะ กาเข้าชม   การเข้าชมภายในพระราชวังอิมพีเรียลนั้นต้องลงทะเบียนก่อนนะคะ สามารถทำการลงทะเบียนล่วงหน้าทางออนไลน์ หรือมารอต่อแถวลงทะเบียนที่ด้านหน้าพระราชวัง ในวันที่ต้องการเข้าชมก็ได้ การเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลนั้นจะมีเจ้าหน้านำทางพาไป เหมือนไกด์นำเที่ยวคอยให้ความรู้ตามจุดและพื้นที่สำคัญของพระราชวังอิมพีเรียลข้อมูลอย่างหนาแน่น โดยเจ้าหน้าที่จะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษนะคะ    การเที่ยวชมพระราชวังจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 เท่านั้น และภายในพระราชวังแห่งนี้ ยังมีร้านค้าที่จำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับพระราชวังไว้ให้ได้ซื้อ เที่ยวชม ติดไม้ติดมือเป็นของฝาก หรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้ค่ะ สักครั้งนึงในชีวิตต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งนะคะ แล้วจะไม่ผิดหวังกลับไปอย่างแน่นอน กฏการเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับบุคคลทั่วไป 18+   เปิดเข้าชมวันละ 2 รอบ รอบเช้าเริ่มเวลา 10:00 น. รอบบ่ายเริ่มเวลา 13:30 น. จำกัดจำนวนผู้เข้าชมรอบละประมาณ 500 คนเท่านั้นสำหรับผู้อายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์กฏการเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับเด็กและเยาวชน   สำหรับเด็กเยาวชนที่อายุไม่เกิน 18 ปีนั้น จำเป็นต้องเดินทางมากับผู้บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง พ่อ แม่ หรือ ครู อาจารย์ เท่านั้น และจะมีการตรวจพาสปอร์ตในวันเข้าชมด้วยนะคะ วิธีการเดินทาง   สำหรับการเดินทางไปที่พระราชวังอิมพีเรียลนั้นแนะนำให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Subway สาย Chiyoda Line ลงที่สถานี Nijubashi-mae(C10)  Exit 2  เมื่อเดินขึ้นสถานีมาเดินอีก 5 นาทีจะถึงบริเวณเขตพระราชฐานของพระราชวังแล้วค่ะ

สวนสนุกแดนสวรรค์ พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส (Kawaguchiko Music Forest)

สวนสนุกแดนสวรรค์ พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส (Kawaguchiko Music Forest)

406

   สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับพิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสเป็นสวนสนุกขนาดเล็กเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องดนตรีแบบอัตโนมัติ ภายในห้องโถงหลักมีกล่องดนตรีโบราณแดนซ์ออร์แกนขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส กล่องดนตรีนี้จะบรรเลงเพลงดนตรีทุกๆ 30 นาที และภายในยังมีเครื่องเล่นดนตรีอัตโนมัติอีกหลายอย่าง เครื่องดนตรีอัตโนมัติส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศในแถบยุโรปทั้งหมด    ภายในห้องโถงนี้ยังใช้จัดกิจกรรม แสดงคอนเสิร์ต จากศิลปินนักดนตรีเพลงคลาสสิคจากทั่วโลก ได้มาจัดแสดงในที่แห่งนี้ ที่แวะเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นประจำทุกวัน ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์ยุโรปอย่างหรูหรา ผสมผสานกับเครื่องดนตรีแปลกๆไว้ให้เดินชม ภายนอกอาคารก่อสร้างเป็นทรงบ้านสไตล์ยุโรปโบราณสวยงาม ภายนอกมีสวนหญ้าเป็นสวนหย่อมเล็กๆ และมีสวนดอกกุหลาบที่สวยงามมาก    ภายด้านหน้าก็มีน้ำพุมองแล้วได้ฟิวส์เหมือนไปยุโรปจริงๆเลยค่ะ แถมฉากหลังยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบอีกด้วย เรียกได้ว่าวิวโดยรอบบรรยากาศดีสุดๆ สถานที่เที่ยวในญี่ปุ่น ที่ถูกสร้างสไตล์ยุโรปมีไม่มากนัก จึงทำให้พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสแห่งนี้ มีความแปลกใหม่สวยแปลกตา สำหรับนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นอย่างมาก นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นนิยมมาเดินเล่นที่นี่กันมาก เพราะนอกจากมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม มีดนตรีเพราะๆให้ฟังกันเพลินๆ เข้ากับบรรยากาศโรแมนติกแล้ว ยังมีร้านค้าขายของ ร้านอาหาร ขายเค้ก ขายชาเขียว ที่อร่อยมากให้นักท่องเที่ยวได้นั่งกิน เหมือนคาเฟ่เล็กๆ เปรียบเสมือนเป็นมุมพักผ่อน หรือทานข้าวกับครอบครัวได้เป็นอย่างดี    นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ ยังรับจัดงานเลี้ยงเล็กๆให้ด้วย ใครที่อยากจัดวันเกิดหรือมี Surprise ให้คนสำคัญก็สามารถจองโต๊ะไว้ได้ และมีดนตรีเปิดให้ฟังตลอดทั้งวัน มีการแสดงที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การแสดงสดการประดิษฐ์ทราย การแสดงน้ำพุ การแสดงโอเปร่าผ่านเครื่องดนตรีอัตโนมัติคลาสสิค การแสดงเป็นรอบๆต่อวัน มีร้านขายของที่ระลึก งานฝีมือ ช่วงในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนจะมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงใช้เวลากับครอบครัว ส่วนสาวๆที่ชอบถ่ายรูปห้ามพลาดที่นี่ เพราะเขามีบริการให้เช่าชุดเจ้าหญิงด้วย  ไว้ใส่สวยๆให้เข้ากับบรรยากาศ หรือใส่เดินเที่ยว เดินหามุมถ่ายรูปสวยๆได้นะคะ ค่าเช่าชุด ผู้ใหญ่ราคา 1,000 เยน เด็กราคา 500 เยน  เวลาในการเช่าชุดก็ประมาณ 90 นาที มาญี่ปุ่นแต่ได้อารมณ์เหมือนไปยุโรป ถือว่าแปลกใหม่ไปอีกแบบ สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ หากใครมาเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ ก็แวะมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันได้นะคะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ กำหนดการเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป : ค่าเข้าชม 1,800 เยน ( เงินไทยประมาณ 320 บาท)สำหรับเด็กและเยาวชน : ค่าเข้าชม 800 เยน ( เงินไทยประมาณ 195 บาท และมีส่วนลด 300 เยนสำหรับการแสดงคูปอง HIS) เวลาทำการปิด-เปิด : 9:00-17:30 น. ( เข้าชมก่อน 17:00 )วิธีการเดินทางเดินทางจาก Kawaguchiko Station สามารถนั่งรถบัส retro bus สาย Kawaguchiko Line ไปลงที่สถานี Ukai Orugoruno Mori Bijutsukan ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที 

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

725

   เที่ยวไฮไลท์ของญี่ปุ่น คงต้องยกให้ภูเขาไฟฟูจิเลย ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟ ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นนะบอกเลย เอ่ยชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิใครๆก็รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 5-6 ปี ก็รู้จักกันแล้วตำนานมาก  ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดและสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาในฤดูกาลไหนก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป และถ้าหากวันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่งมากๆ ก็จะสามารถมองเห็นได้จากเมืองโตเกียว และเมืองโยโกฮาม่าด้วย ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่บริเวณจังหวัด ชิซูโอเกะและจังหวัดยามานาชิอยู่ทางตะวันตกของโตเกียว    ในปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ชาวญี่ปุ่นได้มีความผูกพันกับภูเขามานานหลายศตวรรษ ตำนานเล่าว่านักบวชฮะเซะงะวะ โคะโกะเกียว (ค.ศ. 1541 - 1646) ที่เป็นบุคคลสำคัญได้เคยปีนขึ้นลงภูเขานี้มากว่า 100 ครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีการก่อตั้งกลุ่มฟูจิโกะซึ่งเป็นกลุ่มที่รวม ผู้นับถือภูเขาไฟฟูจิ ผู้นับถือนิกายนี้ได้ก่อตั้งศาลเจ้า สร้างอนุสาวรีย์หิน และอดอาหารเป็นการอุทิศ ความคลั่งไคล้นี้ท้ายที่สุดก็เป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลโชกุนโทกุกาวะตัดสินใจสั่งห้ามนับถือศาสนานี้     แต่ถึงอย่างนั้น ประเพณีบูชาภูเขาที่มีมาอย่างช้านานก็ได้ทำให้ภูเขาลูกนี้ยังคงเป็นที่เคารพนบน้อมในฐานะสถานที่ที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่นี่ยังมีที่สำหรับแสวงบุญอีกด้วย ผู้คนกว่า 300,000 คนจะมาปีนภูเขาไฟฟูจิ ทุก ๆ ฤดูร้อน เส้นทางปีนเขาหลักทั้งสี่สายต่างมีเส้นทางไปยอดเขาต่างกัน รวมทั้งสถานที่หยุดพักหรือ “สถานี” เพื่อบริการสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักตามทาง นักปีนเขาส่วนใหญ่จะวางแผนให้ปีนขึ้นไปทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ลองจินตนาการว่าคุณปีนเขาในช่วงเช้าตรู่เพื่อขึ้นไปบนยอดเขาและชมพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากเส้นขอบฟ้า ในยุคก่อน     ภูเขาไฟฟูจิ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระและยังเป็นสถานที่แสวงบุญของคนธรรมดาทั่วไปอีกด้วย ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่เชิงเขาเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าภูเขาไฟ ฟูจิมีความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ภูเขาไฟ ฟูจิมีภาพจำที่โดดเด่นที่สุดในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 - 1867) ชุดผลงานโดยศิลปินภาพพิมพ์ไม้ที่ชื่ออันโด ฮิโรชิเงะซึ่งเป็นภาพ ภูเขาไฟฟูจิ จะแสดงให้เห็นถึงภูเขาจากจุดชมวิวและสถานที่ต่าง ๆ โดยผู้คนจากทั่วโลกสามารถสัมผัสกับกลิ่นอายของภูมิภาคและวิถีชีวิตของชาวบ้านได้ เช่นเดียวกันนี้เอง     ภาพพิมพ์ไม้โดยศิลปินคัตสึชิกะ โฮกูไซผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีอิทธิพลสำคัญต่อศิลปินตะวันตกอย่างวินเซนต์ แวน โก๊ะ รวมไปถึงถึงนักแต่งเพลง โคลด เดอบุสซี วิวสวยงามของภูเขาไฟ ฟูจิที่นิยมในยุคเอโดะทำให้ภูเขากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก มหัศจรรย์ทางภูมิศาสตร์ ภูเขาไฟลูกนี้ที่เกิดขึ้นประมาณ 100,000 ปีก่อนได้ปะทุอยู่บ่อยครั้งจนในท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นภูเขาไฟ ฟูจิซึ่งคว้าตำแหน่งภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูง 3,776 เมตร การปะทุครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1707 กินเวลา 16 วัน โดยเถ้าภูเขาไฟลอยไปไกลถึงโตเกียว    การปะทุของภูเขาไฟยังทำให้เกิดโฮเอซัง (ยอดเขาฟูจิอันดับสอง) ทะเลสาบทั้งห้าแห่งที่เชิงเขา และถ้ำมากมายใกล้ป่าอะโอคิกะฮะระ พื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้เหมาะแก่การทำกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งและผ่อนคลาย เพราะประวัติศาสของภูเขาไฟลูกนี้ มีมายาวนานและความสวยงามที่เกิดขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่แทบตลอดทั้งปีไม่มีว่างเว้น แถมสถานที่แห่งนี้ยังมีที่เที่ยวใกล้เคียงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมที่พัก ร้านค้าร้านอาหาร ล้อมรอบเยอะแยะมากมาย    สำหรับช่วงฤดูไหนที่เหมาะสำหรับไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ มีสองฤดูด้วยกัน เริ่มต้นจากฤดูร้อน ฤดูกาลที่ท้องฟ้าแจ่มใส สำหรับใครที่เป็นสายผจญภัยแนะนำให้มาช่วงนี้เดือนมิ.ย.- ส.ค. เพราะฟ้าจะเปิดเหมาะสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดท้ายคือฤดูหนาว เดือนก.ย. – พ.ย. หิมะเริ่มปกคลุม ภูเขาไฟฟูจิจะสวยงามที่สุด สุดท้ายนี้อากาศของภูเขาไฟฟูจิ จะมีอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าจะเดินขึ้นเขาภูเขาไฟฟูจิ ในฤดูร้อน โอกาสที่อุณหภูมิจะต่ำเพียง 5-8 องศา ดังนั้นจึงควรเช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินขึ้นเขาทุกครั้ง ทั้งนี้ควรนำเสื้อกันหนาวไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง วิธีการเดินทาง   รถบัส เป็นหนทางที่ประหยัดและง่ายสำหรับคนที่ไม่ชินทางอย่างชาวต่างชาติแบบเรา ๆ แต่อาจใช้เวลาในการเดินทางเยอะกว่าการขึ้นรถไฟและควบคุมเวลาไม่ได้หากการจราจรในบริเวณนั้นหนาแน่น

สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นดั่งเดิม เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นดั่งเดิม เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

630

   เมืองออนเซ็นคุโรคาวะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ( ภูเขาเอโซะ ) ในจังหวัดคุมาโมโต้ เป็นเมืองออนเซ็นที่ฮอตฮิตตลอดกาลของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ได้รับการนิยมจากนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นเองจะชอบการแช่ออนเซ็นเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้    คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการได้แช่ออนเซ็น เหมือนร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การรักษาร่างกายให้อบอุ่นทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุต่างๆได้เต็มที่อีกด้วย เพราะการแช่ออนเซ็นของชาวญี่ปุ่นนั้น มีมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยญี่ปุ่นโบราณสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เมืองออนเซ็นคุโรคาวะที่มีออนเซ็น แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นมีที่สำหรับแช่ออนเซ็นให้เห็นอีกมากมากมาย แต่เมืองออนเซ็นโรคาวะแห่งนี้จะมีเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความมีเสน่ห์ที่ลงตัวของเมืองออนเซ็นคุโรคาวะ จากบรรยากาศโดยรอบได้รักษาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่คงความเก่าแก่ไว้เป็นอย่างดี เพียงแค่ได้ก้าวขาเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนหลุดไปอยู่ยุคบ้านเก่าแก่ญี่ปุ่น เพราะโซนแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็น ตึก อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม เน้นสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมโบราณทั้งหมด    นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นเหมือนชนบทย้อนยุค ที่มีธรรมชาติจากต้นไม้สีเขียวสลับกับใบไม้เปลี่ยนสี มีลำธารแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นชุ่มฉ่ำออกจะชื้นๆ จึงเมาะกับการมาแช่ออนเซ็นอย่างมาก ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามมากใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน และถ้าอยากให้เข้ากับบรรยากาศของเมืองออนเซ็นแห่งนี้ควรเปลี่ยนใส่ชุดยูกาตะและรองเท้าเกี๊ยะแบบญี่ปุ่น ก็จะยิ่งเข้าถึงบรรยากาศญี่ปุ่นแบบย้อนยุคเข้าไปอีก การแต่งกายด้วยชุดยูกาตะ   ชุดยูกาตะจะมีไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวและแขกผู้มาเยือนออนเซ็นแห่งนี้ โดยทางโรงแรมและสถานที่พักจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว สายถ่ายรูปไม่ควรพลาด ชุดยูกาตะนี้สามารถใส่ไปเดินถ่ายรูปเที่ยวตามหมู่บ้านได้เลย หรือใส่ไปร้านอาหารก็ได้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งสีสันของที่นี่ ตามตรอกซอกซอยของคุโรกาวะเรียงรายไปด้วยเรียวกัง โรงอาบน้ำสาธารณะ ร้านค้าและคาเฟ่ที่สวยงาม และศาลเจ้าเล็กๆ และสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำไปยังทางเข้าเรียวกัง ไม่เพียงสำหรับแขกผู้เข้าพักที่เรียวกังสามารถแช่ออนเซ็นได้ไม่จำกัด    สำหรับผู้ที่เดินทางแบบไป-กลับ ก็สามารถใช้บริการแช่ออนเซ็นได้ด้วย บัตรผ่านไม้ (เทกาตะ) จำหน่ายในราคา 1,300 เยน (ประมาณ 320 บาท) โดยสามารถเข้าใช้บริการโรงอาบน้ำของเรียวกัง 3 แห่งได้ตามใจชอบ และใช้ได้นานถึง 6 เดือน มีให้บริการที่ศูนย์ข้อมูลและเรียวกังที่เข้าร่วมกว่า 20 แห่ง แนะนำ หนึ่งในโรงอาบน้ำริมแม่น้ำที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โรงอาบน้ำกลางแจ้งของ Yamamizuki ตั้งอยู่ในป่าติดกับแม่น้ำบนภูเขาที่งดงาม นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำในร่ม บ่อน้ำทั้งหมดแยกเพศหญิงเพศชายอัตราค่าบริการ   ค่าบริการแช่ออนเซ็น 600 เยน (ประมาณ 150 บาทต่อคน) ค่าที่พัก เริ่มต้น 19,000 เยนต่อคน (ประมาณ 4,560 บาทต่อคน)  รวมอาหารเช้าและเย็น ช่วงเวลาทำการเปิด-ปิด 8.30 – 21.00 น.การเดินทาง   รถบัสด่วน มีบริการรถบัสด่วนวิ่งตรงวันละ 2 รอบระหว่างฟุกุโอกะ (สถานีฮากาตะ ศูนย์รถบัสเทนจิน และสนามบินฟุกุโอกะ) และคุโรคาวะ ออนเซ็น การเดินทางเที่ยวเดียวใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ราคา 3,470 เยน (ครอบคลุมบัตร Sun Q Pass บัตรโดยสารรถบัสสำหรับโดยสารรถประจำทางส่วนใหญ่ในคิวชูได้อย่างไม่จำกัด)    รถไฟ เนื่องจากคุโรคาวะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ การเดินทางด้วยรถไฟใกล้สุดคือมาลงสถานี Hita โดยรถไฟด่วนพิเศษตรง (75 นาที ประมาณ 3,000 เยน ต่อเที่ยว) หรือโดยรถไฟท้องถิ่นผ่านคุรุเมะ (100 นาที 1,680 เยน) ทั้งคู่ครอบคลุม JR pass จากนั้นต่อรถบัสจากสถานี Hita มาลงคุโรคาวะ ใช้เวลา 70 นาที ราคา 1,880 บาท รถบัสวิ่งวันละ 2 เที่ยวต่อวัน

แนะนำอันซีนที่เที่ยวในญี่ปุ่น ย่านโดทงโบริ ( Dotonbori )

แนะนำอันซีนที่เที่ยวในญี่ปุ่น ย่านโดทงโบริ ( Dotonbori )

275

   สวัสดีค่ะ วันนี้แอดก็จะมาแนะนำสถานที่ยอดฮิต ย่านดังของโอซาก้า นั้นก็คือ ย่านโดทงโบริ โดทงโบริเป็นย่านที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักสร้างสรรค์ นักดื่ม บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยป้ายไฟนีออน ผับ บาร์ และร้านค้าบริการอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่น ให้ผู้คนที่แวะเวียนไปมา ได้สัมผัสชีวิตยามค่ำคืนของเมืองโอซาก้าแห่งนี้ โดทงโบริเป็นย่านยอดฮิตของวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยามราตรี จะต้องมารวมกันที่นี่     ต้นกำเนิดของย่านโดทงโบริย้อนกลับไปได้ถึงช่วงต้นยุค 1600 เมื่อนักธุรกิจท้องถิ่นได้ขยายตลิ่งแม่น้ำโดทงโบริให้กว้างขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าให้มากขึ้น ภายใน 50 ปีหลังจากนั้น ย่านนี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มีโรงละครคะบุกิถึง 6 โรง และโรงละครบุนระคุ (หุ่นเชิด) ถึง 5 โรงด้วยกัน อีก 400 ปีต่อมา ย่านนี้ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางความบันเทิงซึ่งดึงดูดทั้งผู้คนในท้องถิ่นและนักเดินทางจากต่างถิ่นอย่างมาก แผงป้ายไฟนีออนขนาดใหญ่หน้าร้านค้าและอาคารต่างๆ ในโดทงโบริแสดงให้เห็นถึงความทันสมัย     แถบนี้ทั้งแถบยังคงบรรยากาศแบบย้อนยุค แต่ยังล้ำอนาคตนี้ไว้ ซึ่งลงตัวกับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหากลิ่นอายเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นในแบบที่คุ้นตา ทั้งริม 2 ฝั่งของแม่น้ำโดทงโบรินั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมายสำหรับทั้งกินและดื่ม เมื่อเดินไปตามทางเดินก็จะพบกับร้านอาหารคานิโดระกุ ซึ่งเหนือทางเข้าจะมีการจัดแสดงปูยักษ์ไว้อย่างโดดเด่นสวยงาม มีซุ้มขายราเม็งกลางแจ้งก็ตั้งกระจายกันอยู่ทั่วพื้นที่ ส่งกลิ่นหอมโชยไปตามลม ชวนน้ำลายสอท้องร้องจ๊อกๆกันเป็นแถว เวลายามคำ่คืนเหมาะกับการมาที่ย่านโดทงโบริมากที่สุด เมื่อมีแสงไฟส่องสว่างและผู้คนครื้นเครง หากต้องการทานของว่างเบาๆ ก็อย่าลืมลิ้มลองโอโคโนมิยากิ หรือพิซซ่าญี่ปุ่น ชื่อดังของโอซาก้า รวมถึงทาโกะยากิ ของว่างที่ทำจากแป้งสูตรพิเศษปั้นเป็นลูกกลมสอดไส้ปลาหมึก หากต้องการสัมผัสประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มในแบบรรยากาศที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ก็ขอแนะนำให้ไปร้านอิซะกะยะ หรือหากต้องการสังสรรค์เต้นรำตลอดคืน ก็มุ่งหน้าไปยังคลับใดคลับหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงได้  หากใครต้องการไปเที่ยวย่านนี้ อย่าลืมหาที่พักใกล้เคียงไว้ด้วยนะคะ เพราะคงจะได้เที่ยวเพลิดเพลินอีกหลายวัน     แถวย่านนี้ก็มีห้างสรรพสินค้าให้ได้เที่ยวช้อปปิ้งกันอยู่หลายห้างดังอีกด้วยถูกใจสาวๆแน่นอน เพราะห้างดังย่านนี้มีสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังมากมาย และเครื่องประดับเสื้อผ้ากระเป๋าอื่นๆอีกด้วย บอกเลยว่าใครจะไปย่านแห่งนี้ กระเป๋าตังค์ต้องหนานิดนึง เพราะมีของที่น่าตื่นตาตื่นใจ ให้เราได้ควักกระเป๋าตลอดเวลา สำหรับสายกินขอแนะนำที่นี่เลย ชิมปูให้อิ่ม! ที่ Kani Doraku ป้ายร้านที่มีชื่อเสียงพอๆ กับป้ายกุลิโกะคือ "Kani Doraku (คานิโดระขุ)" ติดๆ กับ สะพานเอบิสุ ที่เราทุกคนจะต้องสะดุดตากับปูขนาดใหญ่ที่ขยับขาไปมาได้ ที่นี่เป็นสาขาใหญ่ของร้านอาหารที่ขายปูเป็นหลัก และมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถเพลิดเพลินกับเมนูหลากหลายที่ใช้ปูเป็นส่วนประกอบได้ เมนูเด็ดก็ต้อง Kanisuki (สุกี้ยากี้เนื้อปู) ราคา 5,000 เยน (ไม่รวมภาษี) มีปูย่างเตาถ่านขายด้วยนะคะ แอพแนะนำที่นี่แอดชอบมาก ไปญี่ปุ่นใครไม่รู้จะไปไหนแอดขอให้ที่นี่เป็นที่แรกเลยละกัน ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) วิธีการเดินทาง    จากสถานี Namba (รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line, Sen-Nichimae Line หรือ Yotsubashi Line) ทางออก Exit 14 เดินประมาณ 3 นาที    จากสถานี Osaka-Namba (รถไฟสาย Hanshin หรือ มาลงที่สถานี Kintetsu)  เดินประมาณ 4 นาที    จากสถานี Namba (รถไฟสาย Nankai) เดินประมาณ 10

ย่านอันตรายในญี่ปุ่น ย่านคาบูจิโก (Kabukicho)

ย่านอันตรายในญี่ปุ่น ย่านคาบูจิโก (Kabukicho)

751

   เราเห็นด้านสวยงามกันมาเยอะแล้ว วันนี้ลองมาดูด้านมืดบ้าง ย่านที่ชื่อเสียงโด่งดังว่าอันตราย อันตรายจริงไหมไปดูกันค่ะ ไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกคนต้องนึกถึงสถานที่สวยๆงามๆ อาหารของกินอร่อยๆกันใช่ไหมค่ะ แต่ญี่ปุ่นก็มีย่านที่น่ากลัวเช่นกัน แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังไม่อยากจะย่างกลายเข้าไปเลย เช่น คาบูกิโจ เป็นย่านและแหล่งกำเนิดของยากูซ่า คาบูกิโจเป็นย่านโคมแดง แสงสี กลางคืน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีร้านอาหารคาราโอเกะ คลับ ผับ บาร์ลับๆเยอะแยะมาก เพราะเหล้าเยอะจะดึงดูดนักดื่ม นักเที่ยวกลางคืน มารวมตัวกันที่จุดนี้ แถมยังมีเจ้าถิ่นที่หน้ากลัว มีผู้คนแปลกหน้า วัยรุ่น และพวกอันธพาลทั้งหลาย ครองย่านนี้ไปแล้ว น่ากลัวมากเรียกได้ว่าเห็นหน้าไม่รู้ใจ    ซึ่งอย่างชาวเราๆชอบดูนกชมไม้ แตกต่างกันมากใช่ไหมล่ะ อย่าหลงเข้าไปดีที่สุด เพราะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างอย่างแม้แต่ตำรวจเองยังช่วยไม่ได้ นานๆขับรถมาที แต่ก็ทำทีมาตรวจขับผ่านละก็ไป เป็นย่านราตรีที่น่ากลัวจริงๆ ถ้ายังไม่รู้วิธีเอาตัวรอดอย่าไป ถึงแม้ญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ขอให้เว้นย่านนี้ไว้สักย่านนึง เป็นสถานที่ที่รวมความสีเทาอยู่เยอะ ทั้งยากูซ่า และคนต่างชาติที่ทำงานอย่างผิดกฏหมาย รวมถึงธุรกิจสีเทาอยู่ในย่านนี้ทั้งหมด ใครไปเที่ยวก็ระวังถูกยัดสิ่งของผิดกฏหมาย ระวังถูกกักตัวโดยไร้เหตุผล โดนหาเรื่องจากนักเลงเจ้าถิ่น โดนขายของแพงเกินราคาจริงให้ ถ้าหลงเดินเข้าไปอย่าไปเผลอจ้องหน้าใครแบบนานๆละ อย่าจะมีเรื่องทะเลาะกันก็ได้ ผู้หญิงที่ชอบคนเดียว ระวังการเดินคนเดียวยามค่ำคืน ถ้าผิดสังเกตว่ามีคนตาม พยายามเดินหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่ดูน่าไว้ใจ อยู่กับคนกลุ่มหรือขอความช่วยเหลือ ขอตามไปด้วยจนกว่าจะรู้ปลอดภัย อย่าลืมบันทึกเบอร์ตำรวจหรือจำเบอร์คนสนิทที่ติดต่อง่ายไว้ด้วยนะคะ แต่ย่านนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะหมด ยังมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม แหล่งช้อปปิ้ง มากมายตอนรับนักท่องเที่ยว นักช้อป อยู่เยอะ ส่วนใครที่อยากไปเห็นสถานที่ แนะนำให้ไปกลางวัน หรือใกล้ค่ำพอค่ะ หลีกเลี่ยงเวลากลางคืนได้ยิ่ง ยิ่งดึกยิ่งไม่ปลอดภัย หลักๆ 3 ย่านที่น่ากลัวที่สุดๆ คือควรหนีให้ไกล คามากาซากิ, โอซาก้า Kamagasaki (หรือที่เรียกว่า Airinchiku)    เป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่อยู่อาศัยของแรงงานเด็กจำนวนมากที่ไม่มีที่อยู่ถาวร แต่อาศัยอยู่ในบ้านที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว จะเรียกว่าสลัมของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Kamagasaki เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติและความที่มีการปรับปรุงเป็นสถานที่ช็อปปิ้งแบบโอเพ่นแอร์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งใช้ราคาที่พักราคาประหยัดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกเช่นกัน แต่ชาวเมืองโอซาก้าจะหลีกเลี่ยงสถานที่นี้ยามค่ำคืนและยืนยันว่ามันอันตราย   Kamagasaki มีประวัติของการจลาจลที่มีขนาดใหญ่ (การประท้วงต่อต้านการกระทำทารุณโดยตำรวจ) หลายกลุ่มอาชญากรรมที่รู้จักกันดีมีสำนักงานอยู่ในพื้นที่นี้ Kamagasaki เป็นประเภทของพื้นที่ที่ตำรวจไม่ได้เข้ามาตรวจ นัยเหมือนว่าจะรำคาญที่จะบังคับใช้กฎหมายกับอาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกชั่วโมง สุสุกิโน่ ซัปโปโร (Susukino)    Susukino ในซัปโปโรถูกสร้างเป็นย่านโคมแดงในปี1871 เพื่อช่วยดึงดูดผู้คนให้มาบุกเบิกภาคเหนือของญี่ปุ่น วันนี้เป็นย่านโคมแดงใหญ่อันดับสองของประเทศ สุสุกิโน่เหมือนย่านโคมแดงที่ดึงดูดคนร้ายและคนแปลก ๆ ในทุกๆระดับ อย่างไรก็ตาม Susukino ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหารและธุรกิจปกติเป็นจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นที่จัดงานเทศกาลต่างๆของซัปโปโร ซึ่งรวมถึงเทศกาลหิมะซัปโปโร ไม่มีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงพื้นที่แห่งนี้ (ในความเป็นจริงถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของซัปโปโร) โปรดทราบว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในญี่ปุ่นละกันนะคะชินเซไก, โอซาก้า   ในปี 1912 Shinsekai เป็นย่านที่ทันสมัยที่สุดในญี่ปุ่น มันถูกจำลองตามถนนในกรุงปารีสและรวมถึงสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ทันสมัย (Luna Park) ไว้ Luna Park ได้เกิดไฟไหม้ที่น่าสงสัยในไม่ช้า หลังจากที่สร้างเสร็จ และปิดตัวลงในปี 1923 บริเวณนี้ยังมีบรรยากาศเฉลิมฉลองในวันนั้นอยู่บ้าง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า เต็มไปด้วยร้านอาหารที่มีเสน่ห์และราคาไม่แพงร้านขายของที่ระลึกและร้านปาจินโกะ (pachinko) แม้จะมีความนิยมกับนักท่องเที่ยวแต่บางคนที่อาศัยอยู่ในโอซาก้ายืนยันว่าย่านนี้เป็น ย่านอันตรายในญี่ปุ่น    นี่ก็เป็นตัวอย่างคราวๆย่านที่อันตราย ของประเทศญี่ปุ่น รู้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไรถ้าเผลอหลงเข้าไปแล้วเราไปเราจะได้ทำตัวถูก และใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ถ้าย่านไหนไม่เหมาะสมกับเราก็ควรหนีให้ไกลดีกว่านะคะ จะได้เที่ยวอย่างไร้ความกังวล

รู้ไว้ไม่เสียหาย 10 ประโยคที่ต้องใช้ เมื่อไปญี่ปุ่น

รู้ไว้ไม่เสียหาย 10 ประโยคที่ต้องใช้ เมื่อไปญี่ปุ่น

331

    สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะมากระซิบบอก ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน รู้ไว้ไม่เสียหายแต่ยังแสดงถึงความใส่ใจละเอียดอ่อน การศึกษาวัฒนธรรม  การให้เกียรติประเทศญี่ปุ่นด้วย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยว ส่วนมากจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่บทสนทนาส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นเมื่อเจอต่างชาติจะทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน ถ้าอีกฝ่ายตอบเป็นภาษาอังกฤษเค้าก็จะพูดอังกฤษกลับมา แต่เมื่อเราเป็นต่างชาติเราก็อยากจะรู้ศัพท์ภาษาของเขาไว้บ้าง เวลาได้ยินจะได้เข้าใจและตอบกลับได้บ้าง ถึงเล็กน้อยก็ยังดี และเอาไว้ทักทายคนญี่ปุ่นโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย ก็จะได้ความจริงใจ ความน่ารักในสำเนียงภาษานั่นเอง การใช้ภาษาประจำประเทศ เป็นการผูกมิตรสัมพันธ์ที่ดีงาม    ภาษาที่ต้องใช้บ่อยและเจอบ่อยๆ เมื่อเราไปญี่ปุ่นก็จะมีคำยอดฮิต อย่างเช่น ( ฮาจิเมมาชิเตะ แปลว่า ยินดีที่ได้รู้จัก ) เป็นศัพท์ยอดฮิตเมื่อชาวญี่ปุ่นพบเจอผู้อื่น วันนี้แอดก็จะมาแนะนำคำพูดที่จะได้ใช้เมื่อไปญี่ปุ่น ให้ทุกคนได้ท่องจำสัก 10 ประโยค เป็นคำศัพท์ที่ทุกคนจะต้องได้เจอแน่ๆ มีคำไหนไปดูกันเลยโอฮาโยโกไซมัส แปลว่า สวัสดีตอนเช้า ใช้ได้เมื่อเจอกันตอนเช้า ซาโยนารา แปลว่า ลาก่อน ใช้เมื่อต้องการกลับ แต่เป็นการกลับที่ยาวนาน เช่นลากลับบ้านต่างประเทศโอซากินิ ชิตสึเรชิมัส แปลว่า ขอตัวกันก่อน ใช้เมื่อเสร็จธุระ หรือขอออกจากสถานที่นั้นก่อนโอยาซุมินาไซ แปลว่า ราตรีสวัสดิ์ ใช้เมื่อร่ำลาแยกย้ายเข้านอนอิรัชไชมาเซ แปลว่า เชิญเข้ามาเลย  เป็นคำที่เราจะได้ยินบ่อย เมื่อเราไปร้านร้านขายของฝาก อาริกาโตโกไซมัส แปลว่า ขอบคุณ เป็นคำที่ใช้บ่อย และเจอบ่อยที่สุดเมื่อไปญี่ปุ่น ไม่ว่าเขาหรือเราก็ต้องพูดคำว่า อาริกาโตโกไซมัส หรือขอบคุณนั้นเองเคี่ยววะ โม่ อีคะนะเขี่ย แปลว่า วันนี้ฉันต้องไปแล้วนะ ใช้เมื่อต้องการที่จะขอตัวไปที่อื่น คอนนิจิวะ แปลว่า สวัสดี ใช้เมื่อต้องการทักทาย เป็นคำยอดฮิตเมื่อเจอหน้ากันโอะเก็งขิเดสก๊ะ แปลว่า คุณสบายดีไหม เป็นคำถามยอดฮิตเช่นกัน ไว้ใช้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันมาตะไออี มะซโย แปลว่า ไว้พบกันใหม่ เป็นคำที่ใช้ในการจากลา ของวันนั้น แต่จะพบกันใหม่   ประโยคเหล่านี้สามารถได้ยินบ่อยๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น เห็นไหมล่ะว่าภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังน่ารักมากด้วย คำบางคำนั้นเราก็ได้ยินบ่อยพอคุ้นหูกันอยู่บ้างแล้ว การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อพูดคุยกับเจ้าของภาษา ถือว่าเป็นการใส่ใจแสดงถึงการเคารพที่ยอดเยี่ยม รับรองว่าคุณจะได้ไมตรีและความผูกพันจากคนญี่ปุ่นได้รอยยิ้มจากเพื่อนร่วมโลกที่แสนอบอุ่นแน่นอน และวันนี้แอดต้องขอตัวลาไปก่อนนะคะ ซาโยนารา มาตะไออี มะซโย

ทำความเข้าใจวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวญี่ปุ่น

ทำความเข้าใจวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวญี่ปุ่น

304

   ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ก็ควรรู้จักวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นไว้สักหน่อย จะได้กลมกลืนและไม่ขายหน้าเรานั่นเอง ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยที่มักจะหาโอกาสไปท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น เราควรเรียนรู้วัฒนธรรมที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้เราเที่ยวได้อย่างสนุกเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรผิดให้ต้องอายได้ การคุยโทรศัพท์   จริงๆแล้ววัฒนธรรมญี่ปุ่น ห้ามคุยโทรศัพท์ในร้านร้านอาหาร หรือบนรถไฟรถเมล์ หรือถ้าหากจำเป็นจริงๆให้พูดสั้นๆ และรีบวางสาย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนรอบข้าง หากนั่งรถไฟ อาจไปคุยที่ตรงข้อต่อขบวนหรือจุดที่จัดไว้ อย่าลืมปิดเสียงไลน์หรือเสียงเตือนข้อความ ถ้าเล่นเกมในโทรศัพท์ก็ควรใส่หูฟังด้วยนะคะตรงต่อเวลา   วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวลามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง รถไฟ รถบัส ก็จะมาถึงตรงเวลาเป๊ะๆ เพื่อนๆ สามารถจัดการเวลาในการเดินทางได้สบายใจ หรือถ้ามีนัดกับชาวญี่ปุ่นล่ะก็ อย่าเลทเป็นอันขาดนะคะ เพราะจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทและไม่ให้เกียรติค่ะขึ้นบันไดเลื่อน   การขึ้นลงบันไดเลื่อนตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะยืนชิดซ้ายหรือชิดขวาไปแล้วแต่ธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละท้องถิ่นค่ะ และจะไม่ยืนอยู่ตรงกลางบันไดนะคะ เพราะถือเป็นการเกะกะผู้อื่น ที่เร่งรีบ ดังนั้นถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วต้องใช้บันไดเลื่อน อย่าลืมสังเกตคนด้านหน้าว่ายืนกันฝั่งซ้ายหรือขวา และหลีกเลี่ยงไม่ยืนขวางทางหรือตรงกลางของบันไดเลื่อนเก็บหรือจับดอกซากุระ   วัฒนธรรมญี่ปุ่นสุดคลาสสิกเมื่อนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมซากุระ คือ “ห้ามแตะต้องต้นซากุระ” เด็ดขาดนะคะ ข้อนี้ถือเป็นกฎสำคัญที่ซีเรียสเลยค่ะ เพราะการที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างจับ หรือเด็ดดอกซากุระนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ต้นซากุระบอบช้ำ และเฉาตายได้ส่งเสียงความอร่อยเราส่งเสียงดังได้ในขณะรับประทานอาหารค่ะ ถือเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยทีเดียวที่ถือว่าการกินเสียงดัง หมายถึง อาหารนั้นอร่อยค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเพื่อน ๆ ซดน้ำซุปเสียงดัง ๆ พนักงานในร้านยิ่งปลื้มปริ่มว่านั่นคือการส่งเสียงความอร่อยให้ร้านได้ยินนั่นเองการใช้ตะเกียบ   ห้ามปักตะเกียบลงในแนวดิ่งไปในถ้วยข้าวนะคะ เพราะจะคล้ายกับการปักธูปไหว้ศพ และห้ามส่งอาหารจากตะเกียบสู่ตะเกียบ เพราะว่าคนญี่ปุ่นจะใช้ตะเกียบคีบกระดูกที่เผา แล้วส่งต่อๆ กันตอนทำพิธีเก็บกระดูกเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการจะตักอาหารให้กัน ก็ควรคีบแล้ววางไว้ในจานของเพื่อนไปเลยค่ะรอยสักกับการแช่ออนเซ็น   หากใครมีรอยสักแล้วจะเข้าไปอาบน้ำพุร้อนออนเซ็น อย่าลืมเช็คดีๆ นะคะว่าออนเซ็นแห่งนั้น เขาห้ามคนมีรอยสักเข้าใช้หรือเปล่า เพราะที่ญี่ปุ่นมีออนเซ็นหลายแห่งไม่อนุญาตให้คนมีรอยสักใช้บ่อน้ำพุร้อนนะคะ และถ้าเกิดเผลอและลืมตรวจสอบละก็ อาจจะทำให้คุณถูกตำหนิอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าผู้อื่นได้แอบถ่ายรูปผู้อื่น   คำเตือนสำหรับหนุ่ม ๆ ห้ามแอบถ่ายรูปสาว ๆ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะแบบเข้าประชิดตัวเกินไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมญี่ปุ่นทั่วไปแต่ทางญี่ปุ่นมีกฎหมาย พรบ.สิทธิส่วนบุคคล ห้ามแอบถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะ แต่หากจะถ่ายแบบวิวกว้าง ๆ แล้วมีสาว ๆ ติดอยู่ในภาพวิวนั้นโดยไม่ได้เจาะจง ก็ถือว่าทำได้ไม่มีปัญหาค่ะเข้าคนแรก ปิด-เปิด ลิฟต์   เวลาโดยสารลิฟต์ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้ามาในลิฟต์ และกดให้คนอื่น ๆ ออกจากลิฟต์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน เรื่องนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวนะคะ แต่ให้นึกไว้เสมอว่าหากคุณเป็นคนแรกที่เข้าลิฟต์ที่ญี่ปุ่นล่ะก็ คุณคือคนที่ต้องกดปิด-เปิดประตูลิฟต์ให้คนอื่นตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั่นเองค่ะญี่ปุ่นไม่ต้องให้ทิป   เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มเติมนะคะ เป็นอีกเรื่องที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ ชาติทำเป็นปกติ แต่ไม่ใช่กับชาวญี่ปุ่นค่ะ เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะถือเรื่องการบริการที่ทำด้วยใจ ดังนั้นพนักงานในญี่ปุ่นจะไม่รับทิปนะคะ หรือถ้าคุณวางเงินไว้บนโต๊ะ พนักงานก็อาจจะวิ่งตามนำเงินมาคืนคุณอีกด้วยค่ะ 

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

504

    วัดคินคะคุจิหรือวัดทองเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น วัดคินคะคุจิ ( Kinkakuji ) หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อของ วัดทองเกียวโตตามความหมายของชื่อภาษาญี่ปุ่นเพราะมีปราสาทคินคะคุจิทองคำ( Golden Pavilion ) ที่มีความงดงามโดดเด่นของศิลปะการสร้างชั้นสูงของญี่ปุ่น วัดแห่งนี้มีชื่อทางการว่าวัดโรกูอนจิ ( Rokuon-ji ) ที่มีความหมายว่าวัดสวนกวาง วัดแห่งนี้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1397 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของโชกุน Ashikaga Yoshimitsu เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตรใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ      ภายหลังจึงกลายเป็นวัดในปัจจุบัน และด้วยความงดงามตระการตาจึงกลายมาเป็นต้นแบบของวัด Gingakuji หรือวัดเงินที่สร้างในเวลาต่อมาระหว่างช่วงสงครามโอนิน ปีค.ศ.1467–1477 วัดได้ถูกไฟไหม้ แต่ครั้งที่สำคัญที่สุดคือในปี ค.ศ. 1950 ตัว Golden Pavilion ได้ถูกเผาโดยพระชื่อ Hayashi Yoken ซึ่งเป็นผู้มีความวิกลจริต ทำให้ได้รับความเสียหายจนแทบไม่เหลือซาก ดังนั้นวัดคินคะคุจิในปัจจุบันนั้น ก็คือตัวอาคารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1955 โดยยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ และยังได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการใช้แผ่นทองสรรค์สร้างจนได้เป็นความงดงามอย่างที่เห็นในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1994 ที่นี่ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับญี่ปุ่นและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเกียวโต Golden Pavilion     ในปัจจุบันเป็นอาคารไม้ที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เนื่องจากหลังเดิมถูกไฟไหม้ โดยรักษาเอกลักษณ์ รูปแบบโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ เปลี่ยนรูปแบบของหน้าต่าง เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตร ใช้เป็น shariden หรือที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ถูกนำไปใช้กับวัดคินทอง ความโดดเด่นคือสีทองอร่ามของตัวตำหนักทองคำที่ใช้แผ่นทองคำค่อยๆ รังสรรค์เป็นความสวยงามที่ดึงดูดให้คนมาชมความงามตลอดปี ทางวัดจะมีการจัดการทางเดินให้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายภาพ Golden Pavilion สามารถถ่ายรูปได้งดงามหลากหลายมุม แต่ที่นิยมกันคงเป็นนี้ตรงตัวเรือนทอง ที่นี่จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรือจะเป็นฤดูหนาวก็ให้ฟีลเหมือนฝันไปอีกแบบ      ฉะนั้นเมื่อมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น อีกจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวที่เคยไปสัมผัสพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยมาก ก็คือเงาสะท้อนของตัวเรือนสีทอง เมื่อเงากระทบกับผิวน้ำและในแต่ละฤดู วัดแห่งนี้จะให้ความสวยที่แตกต่างกันออกไป ฤดูใบไม้ผลิ    จะมีดอกซากุระ ออกดอกเบ่งบานเต็ม เรียงรายรอบๆตัวเรือนสีทองหลังนี้ ให้บรรยากาศดอกซากุระสีสวยอมชมพูดูสดใส ฤดูใบไม้ผลินักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อยนะคะ เพราะที่วัดคินคะคุจิแห่งนี้ จะมีดอกซากุระออกดอกมากเป็นพิเศษฤดูหนาว    หิมะก็จะตกโปรยปรายสวยมีเสน่ห์เหมือนต้องมนต์ หลุดลอยเข้าไปในวัดหรือหนังซีรีส์ก็ว่าได้ ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะหนาตกปกคลุมทั่วพื้นที่ ให้ความสวยไปอีกแบบ ส่วนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี    ท่ามกลางวัดทองแห่งนี้เรียงรายเต็มไปด้วยใบไม้สลับสี ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีส้ม สีแดง สีเหลือง ให้บรรยากาศญี่ปุ่นแต่ยังทันสมัยอยู่ เพราะตัวเรือนสีทองเด่นสง่า เพราะความสวยตราตรึงขนาดนี้เลยดึงดูดนักท่องไปสัมผัสเป็นอย่างมาก และภายในวัดทองแห่งนี้ยังมีสถานที่ชงชาด้วยนะคะ สามารถมาเที่ยวชมชงชาดื่มกันได้กันคะ คุ้มค่ากับการมาเยือนอย่างแน่นอนการเข้าชม   การเข้าชม มีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นประถมศึกษา จะอยู่ที่ 300 เยน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  9:00-17:00 น. ค่ะวิธีการเดินทาง   การเดินทางเฉพาะรถบัส สามารถเดินโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที จากป้ายรถบัส Kinkakuji-mae bus stop (รถบัสสาย 12, 59) และเดิน 5-10 นาทีจากป้ายรถบัส Kinkakuji-michi (รถบัสสาย 101, 205) ตามป้ายบอกทาง หรือสอบถามเจ้าหน้าที่สถานีได้เลย ก็สามารถมาถึงโดยง่าย

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

749

  วัดคินคะคุจิหรือวัดทองเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น วัดคินคะคุจิ ( Kinkakuji ) หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อของ วัดทองเกียวโตตามความหมายของชื่อภาษาญี่ปุ่นเพราะมีปราสาทคินคะคุจิทองคำ( Golden Pavilion ) ที่มีความงดงามโดดเด่นของศิลปะการสร้างชั้นสูงของญี่ปุ่น วัดแห่งนี้มีชื่อทางการว่าวัดโรกูอนจิ ( Rokuon-ji ) ที่มีความหมายว่าวัดสวนกวาง วัดแห่งนี้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1397 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของโชกุน Ashikaga Yoshimitsu เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตรใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ      ภายหลังจึงกลายเป็นวัดในปัจจุบัน และด้วยความงดงามตระการตาจึงกลายมาเป็นต้นแบบของวัด Gingakuji หรือวัดเงินที่สร้างในเวลาต่อมาระหว่างช่วงสงครามโอนิน ปีค.ศ.1467–1477 วัดได้ถูกไฟไหม้ แต่ครั้งที่สำคัญที่สุดคือในปี ค.ศ. 1950 ตัว Golden Pavilion ได้ถูกเผาโดยพระชื่อ Hayashi Yoken ซึ่งเป็นผู้มีความวิกลจริต ทำให้ได้รับความเสียหายจนแทบไม่เหลือซาก ดังนั้นวัดคินคะคุจิในปัจจุบันนั้น ก็คือตัวอาคารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1955 โดยยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ และยังได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการใช้แผ่นทองสรรค์สร้างจนได้เป็นความงดงามอย่างที่เห็นในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1994 ที่นี่ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับญี่ปุ่นและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเกียวโต Golden Pavilion     ในปัจจุบันเป็นอาคารไม้ที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เนื่องจากหลังเดิมถูกไฟไหม้ โดยรักษาเอกลักษณ์ รูปแบบโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ เปลี่ยนรูปแบบของหน้าต่าง เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตร ใช้เป็น shariden หรือที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ถูกนำไปใช้กับวัดคินทอง ความโดดเด่นคือสีทองอร่ามของตัวตำหนักทองคำที่ใช้แผ่นทองคำค่อยๆ รังสรรค์เป็นความสวยงามที่ดึงดูดให้คนมาชมความงามตลอดปี ทางวัดจะมีการจัดการทางเดินให้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายภาพ Golden Pavilion สามารถถ่ายรูปได้งดงามหลากหลายมุม แต่ที่นิยมกันคงเป็นนี้ตรงตัวเรือนทอง ที่นี่จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรือจะเป็นฤดูหนาวก็ให้ฟีลเหมือนฝันไปอีกแบบ      ฉะนั้นเมื่อมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น อีกจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวที่เคยไปสัมผัสพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยมาก ก็คือเงาสะท้อนของตัวเรือนสีทอง เมื่อเงากระทบกับผิวน้ำและในแต่ละฤดู วัดแห่งนี้จะให้ความสวยที่แตกต่างกันออกไป ฤดูใบไม้ผลิ    จะมีดอกซากุระ ออกดอกเบ่งบานเต็ม เรียงรายรอบๆตัวเรือนสีทองหลังนี้ ให้บรรยากาศดอกซากุระสีสวยอมชมพูดูสดใส ฤดูใบไม้ผลินักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อยนะคะ เพราะที่วัดคินคะคุจิแห่งนี้ จะมีดอกซากุระออกดอกมากเป็นพิเศษฤดูหนาว    หิมะก็จะตกโปรยปรายสวยมีเสน่ห์เหมือนต้องมนต์ หลุดลอยเข้าไปในวัดหรือหนังซีรีส์ก็ว่าได้ ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะหนาตกปกคลุมทั่วพื้นที่ ให้ความสวยไปอีกแบบ ส่วนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี    ท่ามกลางวัดทองแห่งนี้เรียงรายเต็มไปด้วยใบไม้สลับสี ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีส้ม สีแดง สีเหลือง ให้บรรยากาศญี่ปุ่นแต่ยังทันสมัยอยู่ เพราะตัวเรือนสีทองเด่นสง่า เพราะความสวยตราตรึงขนาดนี้เลยดึงดูดนักท่องไปสัมผัสเป็นอย่างมาก และภายในวัดทองแห่งนี้ยังมีสถานที่ชงชาด้วยนะคะ สามารถมาเที่ยวชมชงชาดื่มกันได้กันคะ คุ้มค่ากับการมาเยือนอย่างแน่นอนการเข้าชมการเข้าชม มีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นประถมศึกษา จะอยู่ที่ 300 เยน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  9:00-17:00 น. ค่ะวิธีการเดินทางการเดินทางเฉพาะรถบัส สามารถเดินโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที จากป้ายรถบัส Kinkakuji-mae bus stop (รถบัสสาย 12, 59) และเดิน 5-10 นาทีจากป้ายรถบัส Kinkakuji-michi (รถบัสสาย 101, 205) ตามป้ายบอกทาง หรือสอบถามเจ้าหน้าที่สถานีได้เลย ก็สามารถมาถึงโดยง่าย

ขอพรเทพเจ้าจิ้งจอก ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ (Fushimi Inari Shrine)

ขอพรเทพเจ้าจิ้งจอก ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ (Fushimi Inari Shrine)

574

   เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยวของญี่ปุ่น ที่มีความสำคัญและประวัติยาวนานพอสมควร ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มาก ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก หรือราวๆพันกว่าปีมาแล้วค่ะ ชาวญี่ปุ่นท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ภายในศาลเจ้าแห่งมีสีแดงเป็นหลัก มีเสาสีแดงขนาดใหญ่อยู่ประตูทางเข้า เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนที่ไปเยี่ยมชมต้องใช้เป็นแลนด์มาร์คถ่ายรูป     จุดหน้าสนใจก็มีหลายจุด โดยเฉพาะทางเดินจะมีเสาสีแดงเรียงตามทางเดินไปเรื่อย สร้างความแปลกใหม่ให้ผู้คนที่พบเห็น ภายในยังมีแผ่นไม้ไว้ใช้สำหรับวาดหน้าตาจิ้งจอก แล้วเอามาห้อยรวมกันเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเลย ผู้คนก็จะวาดหน้าตาจิ้งจอกออกมาตามจินตนาการของใครของมัน มีเอกลักษณ์ด้านศิลปะสุดๆ และขาดไม่ได้ก็จะเป็น โดยรอบบริเวณศาลเจ้าจะมีรูปปั้น และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกมากมาย มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ตัวใหญ่เยอะแยะนับไม่ถ้วน เพราะชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อนเชื่อกันว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์นำสาส์นของเทพเจ้าอินาริ คอยอวยพรให้พื้นที่ในบริเวณนั้น มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าว ปลูกพืช ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ เป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวข้าวและเกษตรกรรม เพราะเป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ หากใครมาเที่ยวได้ถูกเวลาอาจจะได้ชมประเพณีเก่าแก่ของเกียวโตได้ที่นี่พิธีสำคัญของศาลเจ้าเทพจิ้งจอกอินาริ• สวดมนต์ขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เนื่องจากเป็นเทศกาลระดับโลกอย่างวันสิ้นปี จึงมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาที่นี่เป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะได้ร่วมพิธีสวดมนต์ข้ามปี และชมพลุเฉลิมฉลองไปพร้อมๆกัน • Oyama-sai พิธีเฉลิมฉลองศาลเจ้า 5 มกราคมของทุกปี สืบเนื่องมาจากเทศกาลปีไหม่ ต่อมาก็ก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองประจำถิ่น แสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นของชาวบ้านในพื้นที่ื รวมถึงพิธีทำความสะอาดศาลครั้งยิ่งใหญ่ เพิ่มความมงคลให้ชีวิต • Seinen-sai พิธีฉลองความเป็นผู้ใหญ่ ใน วันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม วันนี้ถือเป็นวันมงคลมากๆ ชาวบ้านมักจะมาร่วมเฉลิมฉลอง รับแสงจันทร์ปล่อยโคมลอย รับโรชลาภกัน เชื่อกันว่าเป็นการอาบแสงจันทร์รับความสิริมงคลประจำปีเลยที่เดียว• Hosha-sai พิธิยิงธนูขับไล่สิ่งชั่วร้าย 12 มกราคมของทุกปี เป็นอีกหนึ่งพิธีการที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากการยิงถนูแล้วยังมีการละเล่นของชาวท้องถิ่นให้ได้เห็น อย่างเช่น การขับร้องเพลงประจำถิ่น การทำขนมแจกจ่ายนักท่องเที่ยว• Setsubun-sai การเฉลิมฉลอง ณ จุดสิ้นสุดของฤดูหนาวและการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ในสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาภัณฑ์ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีต้อนรับฤดูไหม่หลังเทศกาล รับความสิริมงคลเข้ามาในชีวิต•  Sangyo-sai พิธีขอบคุณเทพ Inari Okami ขอพรให้ธุรกิจสำเร็จ ในวันอาทิตย์ที่ใกล้วันที่ 8 ของเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเชื่อว่าที่นี่เป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ปัดเป่าความชั่วร้าย มอบความมงคลให้กับชีวิต สมหวังปราถนา            มาถึงที่จึงไม่ควรพลาดซื้อเครื่องราง ที่นี่มีชื่อเสียงทั้งเครื่องรางให้ธุรกิจรุ่งเรือง การค้าคึกคัก รวมไปถึงโชคดีประเภทต่างๆ ราคานั้นเริ่มตั้งแต่ 500 เยนไปจนถึง 2000 เยน แล้วแต่ประเภท การเดินเข้าศาล พอผ่านประตูโทริ ให้โค้งคำนับหน้าประตูทางเข้า 1 ครั้ง และให้เดินโดยชิดข้างใดข้างหนึ่งไม่ซ้ายก็ขวา เพราะตรงกลางคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นทางเดินของเทพเจ้า ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องและความเชื่อมาก ศาลเจ้าจิ้งจอกอินาริ ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีมานมนาน ทำให้ศาลเจ้าอินารินั้นมีมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นเลยนะ ภายในศาลเจ้าก็ยังมีร้านค้า ขายอาหาร โดยอาหารแต่ละอย่างก็ได้สร้างชื่อให้ข้องจองกับศาลเจ้า เช่น ซูชิจิ้งจอก ของทอดจิ้งจอก เรียกง่ายๆว่าของกินที่นี่จะลงท้ายด้วยจิ้งจอกเกือบทั้งหมด เพราะชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าจะเพิ่มความศิริมงคลนั้นเอง อีกทั้งยังมีร้านของฝากที่เกี่ยวกับศาลเจ้าแห่งไว้ติดไม้ติดมือไว้เป็นของที่ระลึกอีกด้วย   ร้านเครื่องดื่มก็เยอะเช่นกัน บริเวณรอบๆศาลเจ้าก็จะมีศาลอื่นๆอยู่ใกล้บริเวณนั้นอีกมาก เที่ยวที่ศาลเจ้าจิ้กจอกเสร็จก็สามารถแวะเวียนเที่ยวศาลเจ้าใกล้เคียงต่อไปอีกได้ เวลาทำการเข้าเที่ยวชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดบริการ 24 ชั่วโมงเลยนะคะ การเดินทางการเดินทางศาลตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีอินาริ ในสาย JR นาราไลน์ หรือจะเดินจากสถานีรถไฟ ฟูชิมิ อินาริ ของสายรถไฟเคฮังก็ได้ค่ะ

ลิงแช่ออนเซ็นอันเลื่องชื่อสวนลิงจิโกคุดานิ ประเทศญี่ปุ่น (Jigokudani Monkey Park)

ลิงแช่ออนเซ็นอันเลื่องชื่อสวนลิงจิโกคุดานิ ประเทศญี่ปุ่น (Jigokudani Monkey Park)

337

   แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ สวนลิงจิโกคุดานิ หุบเขาอันเงียบสงบทางตอนเหนือของจังหวัดนะงะโนะ อีกหนึ่งที่เที่ยวที่น่าสนใจ จิโกะคุดานิ ยะเอ็น โคเอ็น (สวนลิงหิมะ) เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของลิงกังญี่ปุ่น ไฮไลท์ของสวนแห่งนี้ คุณสามารถเข้าชมลิงกังญี่ปุ่นได้อย่างใกล้ชิดอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถจับตัวลิงได้นะคะ เพราะระวังมันกัดเอาได้ ยังได้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างน่าตื่นเต้น และในช่วงฤดูหนาว ฝูงลิงกังจะลงมาแช่ตัวตัวที่บ่อน้ำพุร้อนเพื่อรับไออุ่น นักท่องเที่ยวจะได้เห็นและสังเกตพฤติกรรมของลิงกังรอบๆอย่างใกล้บ่อน้ำ ลิงกังเหล่านี้ชอบแช่น้ำพุร้อนมาก แช่จนหน้าแดงจนเป็นเอกลักษณ์ของลิงกังที่นี่    หุบเขาแห่งนี้แทบจะเป็นที่อยู่หลักของลิงกังเลยก็ว่าได้ ลิงกังญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่าลิงหิมะ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในกลุ่มไพรเมทที่ไม่ใช่มนุษย์ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ทางเหนือสุดของโลก ปกติพวกลิงกังเหล่านี้จะลงแช่น้ำพุตลอดทั้งปี แต่ฤดูไฮไลท์ที่น่าเที่ยวที่สุดคือฤดูหนาว เพราะฝูงลิงหลายร้อยตัวจะรวมใจกันลงมาแช่น้ำพุร้อนเยอะมากในช่วงฤดูหนาว และลิงกังบางตัวจะมีลูกน้อยบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้จึงเหมาะกับการเลี้ยงลูกของลิงกังอย่างมาก ข้อห้ามการเข้าชม     เมื่อเราไปสถานที่แห่งนี้ควรเคารพกฎและมีบังคับที่ไม่ควรปฏิบัติควรรู้ด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราและฝูงลิงกังค่ะ ข้อห้ามหลักๆเลยก็จะมี อย่าให้อาหารลิงกัง อย่าแตะต้องหรือจับตัวลิงกัง หรือขู่ให้ลิงตกใจ มันอาจตกใจกระโดดกัดเราได้  อย่าจ้องหรือมองเข้าไปในดวงตาของลิง เพราะอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความก้าวร้าว อย่าเข้าไปใกล้ลูกลิงจนเกินไป เพราะแม่มันจะวิ่งมาไล่ได้ ที่สำคัญเลยอย่าเข้าไปรวมตัวกับพวกเขาในบ่อแช่น้ำเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้ลิงเหล่านั้นหงุดหงิดและเผลอทำร้ายคุณได้     ลิงเหล่านี้มีชีวิตในแบบของตัวเอง และมาแช่น้ำเมื่อพวกมันต้องการเท่านั้น พวกมันยังคุ้นเคยกับการมีมนุษย์รายล้อมอยู่ด้วย ดังนั้นคุณจึงทำได้แค่ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศยืนดูฝูงลิงแช่น้ำพุเท่านั้น ลูกลิงกังจะน่ารักมากซุกซนตามประสา ยังไม่มีนิสัยดุร้าย แต่ก็ไม่ควรไปจับพวกมันอยู่ดี สวนลิงแห่งนี้ยังมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ลิงอยู่แต่ภายในพื้นที่และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอีกอย่างที่พวกมันชอบทำ นั่นคือการขโมยของ จากที่ดินเพาะปลูกของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อจัดการกับปัญหาลิงบุกลุกพื้นที่สวนชาวบ้าน สวนแห่งนี้จึงมีเจ้าหน้าที่มาให้อาหารลิงทุกวันเป็นเวลาอยู่แล้ว เราจึงไม่ต้องให้อาหารกับฝูงลิงกังเลย     ภายในสวนแห่งนี้มีจุดให้อาหารลิงเฉพาะจุด ทุกๆเช้าลิงพวกนี้จะลงมากินอาหารประจำจุดที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ อย่างเป็นระเบียบ การเดินทางไปสวนแห่งนี้ สวนลิงแห่งนี้ตั้งอยู่บนของหุบเขา จึงต้องเดินเท้าจากบริเวณเชิงเขาด้านล่างลัดเลาะไปตามทางเดินประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงในแบบที่ค่อยๆเดินกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ การเตรียมตัวของนักท่องเที่ยว    การเตรียมตัวให้พร้อมนั้นสำคัญมาก นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมเสื้อผ้า รองเท้าสำหรับใส่เดินบนหิมะ ถุงมือ ที่ปิดหู หมวก และเครื่องกันหนาวต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและสภาพร่างกายของตนเอง และสามารถเที่ยวชมบรรยากาศสองข้างทางได้อย่างมีความสุข เมื่อคุณสนุกสนานกับการชมลิงกังแล้ว บริเวณรอบๆยังมีสถานที่ใกล้เคียงแล้วอย่าง ยูดะนะกะ หรือ ชิบุอนเซ็น ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อไปแช่น้ำ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น นอนค้างที่โรงแรมท้องถิ่นเพื่อแช่อนเซ็นแบบไม่มีลิง สำหรับผู้ที่วางแผนจะเล่นกีฬากลางแจ้งแนะนำ ชิงะโคเก็ง และ โนซาวะอนเซ็น นั้นอยู่ห่างออกไปโดยนั่งรถบัสครึ่งชั่วโมงวิธีการเดินทางไปสวนลิง   ลิงเหล่านี้อาศัยอยู่ห่างไกลในภูเขา และการเดินทางไปที่นั่นก็ต้องใช้เวลา ข่าวดีก็คือมีรถบัสที่ให้บริการจากสถานที่ที่ได้รับความนิยมหลายแห่งรอบๆ จังหวัดไปยังคังบายาชิอนเซ็น ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเดินที่จะไปสู่สวน ได้แก่ นะงะโนะ (40 นาที) โนซาวะอนเซ็น (30 นาที) ชิงะโคเก็ง (30 นาที) และยุดะนะกะและชิบุอนเซ็น (10 นาที) และจากคังบายาชิอนเซ็น จะต้องเดินเท้าผ่านป่าไปยังสวนลิงหิมะโดยใช้เวลา 25-40 นาที สามารถเดินผ่านเส้นทางนี้ได้ตลอดทั้งปี

แลนด์มาร์ก 1 ใน 3 ที่ได้รับความนิยมที่สุด สะพานคินไตเคียวแห่งญี่ปุ่น (Kintaikyo)

แลนด์มาร์ก 1 ใน 3 ที่ได้รับความนิยมที่สุด สะพานคินไตเคียวแห่งญี่ปุ่น (Kintaikyo)

420

  สะพานคินไตเคียวเป็นสะพานที่มีจุดเด่น และมีชื่อเสียงมาก เป็นสะพานโค้งไม้ 5 โค้ง รูปทรงสะพานถูกสร้างให้ออกมาแนวโบราณญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงก็ดูไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไร แต่ถ้าได้ไปเห็นของจริงบอกเลยว่าสวยมาก วิวโดยรอบมองเห็นภูเขามีอาคารบ้านเรือนตั้งสลับกันไปมา ให้บรรยากาศแบบธรรมชาติโดยแท้ และในแต่ฤดูกาลจุดสะพานคินไตเคียวยังเป็นจุดแลนด์มาร์คที่มีนักท่องเที่ยวแวะไปถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย ในช่วงฤดูใบผลิ โดยรอบจะมีดอกซากุระเบ่งบานสวยอมชมพูงดงามเข้ากับตัวสะพานสุดๆ     ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยไม่แพ้กัน ใบไม้สีส้มอมแดงเรียงรายสวยมาก ไฮไลท์คือฤดูหนาวหิมะโปรยปรายสีขาวสวยงดงามตามรอยภาพยนตร์ เหมือนหลุดไปในฉากเลยก็ว่าได้ สะพานคินไตเคียว เป็นสะพานไม้ที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่เมืองอิวะคุนิ ( Iwakuni ) ในจังหวัดยะมะงุชิ ( Yamaguchi ) มีลักษณะเป็นสะพานไม้ 5 โค้ง กว้าง 5 เมตร ความยาว 193.3 เมตร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย     สะพานนี้มีความสวยงามอยู่ในตัวของมันเอง และเมื่อยิ่งได้ชมไปพร้อมๆกับทัศนียภาพโดยรอบที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูแล้ว ก็ยิ่งมีความสวยสดงดงามอย่างมากเลยทีเดียว แค่ได้เดินข้ามผ่านสะพานไม้แห่งนี้ก็รู้สึกดีแล้ว และไปเที่ยวที่สะพานคินไตเคียวแห่งนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวเลย เพียงแค่เดินข้ามสะพานไปก็จะมีร้านไอศครีม ชื่อร้านว่า มุซาชิ ภายในร้านแห่งนี้ยังมีซอฟท์ครีมให้ลิ้มลองมากกว่า 100 รสชาติ ยังไม่หมดนะ ยังมีอาหารกลางวันที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนึ่งในอาหารญี่ปุ่นประจำถิ่น ที่มีการนำข้าวซูชิมาผสมกับรากบัว ปลาอาจิ ไข่ฝอย เห็ดชิตะเกะ วางคั่นกับผักสลับไปมา วางซ้อนๆกันหลายๆชั้นลงข้างในกล่องไม้ ปิดฝาและกดแน่นๆ ในการทำแต่ละครั้งสามารถกินได้มากกว่า 10 คนเลย คนสมัยเล่ากันว่า เมื่อสมัยก่อนก็ใช้วิธีนี้เป็นวิธีการบรรจุอาหาร เพื่อขนย้ายเข้าไปให้แก่ผู้คนในปราสาทในยามที่กำลังมีสงคราม เพราะปราสาทอิวะคุนิ ซึ่งอยู่บนเขาทำให้การขนย้ายจึงลำบาก วิธีนี้ทำให้ง่ายขึ้นจึงใช้เก็บอาหารและเอาออกมาแบ่งกันกินในภายหลัง    สะพานคินไตเคียว เมื่อก่อนยังไม่มีค่าเข้าชมนะคะ แต่ตอนนี้มีแล้ว ที่ต้องเรียกเก็บค่าเข้าชมเพราะว่าสะพานคินไตเคียวแห่งนี้ได้รับการบูรณะใหม่เป็นครั้งแรกจากสะพานเดิม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 ร้อยล้านเยน จึงทำให้ต้องมีการเก็บค่าเข้าเพื่อเป็นการบำรุงรักษาตัวสะพานและย้อนกลับไปสู่ภาครัฐไปในตัว ที่สะพานคินไตเคียวนี้เราสามารถเดินข้ามได้ตลอดเวลา ถ้าหากไม่มีเจ้าหน้าที่ก็หยอดเงิน 300 เยน ใส่กล่องได้เลยค่ะ  ค่าข้ามสะพาน ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน   ถ้าใครสนใจอยากจะซื้อแบบเป็นเซท โดยรวมตั๋วกระเช้าไฟฟ้า และค่าเข้าปราสาทอิวาคุนิรวมไปด้วยก็สามารถซื้อที่นี่ได้เลยค่ะ แบบเซท ผู้ใหญ่ 940 เยน เด็ก 450 เยน สิ่งที่ห้ามทำบนสะพานเลย นั่นก็คือ ห้ามสูบบุหรี่หรือรับประทานอาหารบนสะพานเด็ดขาดนะคะ สถานที่เที่ยวใกล้ขอแนะนำเป็น ปราสาทอิวาคุนิสร้างขึ้นในปี 1608 ตั้งอยู่บนเขาและสามารถมองเห็นวิวเมิองอิวาคุนิรวมไปถึง สะพานคินไตเคียวได้ด้วย วิธีการเดินทางไปยังปราสาทอิวาคุนิแบบง่ายๆคือ ขึ้นโรปเวย์หรือกระเช้าลอยฟ้าที่อยู่ไม่ไกลมากนักจากสะพานคินไตเคียว จากนั้นเมื่อขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว ก็เดินต่อเพียง 5 นาทีก็ถึงปราสาทแล้วค่ะ เวลาทำการ  เวลาทำการของปราสาทคือ 9.00-16.45 น. โดยวันหยุดของปราสาทาอิวาคุนินั้น ก็ขึ้นอยู่กับวันหยุดของโรปเวย์ด้วยค่ะ ถ้าหากไม่ได้ซื้อตั๋วแบบเซ็ทที่กล่าวไว้ ก็มาสารถซื้อบัตรเข้าปราสาทเพิ่มได้ค่ะ ผู้ใหญ่ 260 เยน เด็ก 120 เยนวิธีการเดินทางไปสะพานคินไตเคียวมี 2 วิธี   จากสถานี อิวาคูนิ  ถึง สถานีคินไตเคียว ใช้เวลา 20 นาที ค่ารถบัส 250 เยน (บัสจะออกทุกๆ 5-15 นาที)   จากสถานี ชินอิวาคูนิ ถึง สถานีคินไตเคียว ใช้เวลา 15 นาที ค่ารถบัส 290 เยน (บัสจะออกชั่วโมงละ 2-3 คัน)

คุณอาจคาดไม่ถึง ทำสิ่งเหล่านี้แล้วผิดกฏหมาย ในประเทศญี่ปุ่น

คุณอาจคาดไม่ถึง ทำสิ่งเหล่านี้แล้วผิดกฏหมาย ในประเทศญี่ปุ่น

565

  ใครจะไปเที่ยวญี่ปุ่น หรือไปต่างบ้านต่างเมือง เราควรศึกษากฎหมายและวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ไว้บ้างก็คงไม่เสียหาย จะได้ไม่เผลอทำผิด อย่างเช่นวันนี้แอดจะมาบอกถึง สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าทำแล้วผิดกฎหมาย ของประเทศญี่ปุ่น มีอะไรบ้างลองมาดูกัน การแซงคิว    แน่นอนใครจะไปคิดว่าการแซงคิวในประเทศญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายแล้ว การแซงคิวผู้อื่น ถือว่ามีความผิดมีโทษเท่ากับการถ่มน้ำลายในสวนสาธารณะ มีโทษ จำคุกสูงสุด 30 วัน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 เยน หรืออาจโดนบันทึกไว้ในประวัติอาชญากรรมข้อหาแซงคิวถุยน้ำลายลงบนพื้นที่สาธารณะ    ถุยน้ำลายขากเสลดบนพื้นในสวนสาธารณะ บ้านเมืองในญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับพื้นที่ส่วนรวม โดยเฉพาะความสะอาด ถ้าเกิดเผลอทำตามใจละเมิดกฏละก็ อาจทำให้มีโทษติดคุกสูงสุด 30 วัน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 เยน  (300-3,000 บาท) และอาจโดนบันทึกไว้ในประวัติอาชญากรรม ไปญี่ปุ่นอย่าเผลอถุยน้ำลาย ทิ้งมั่วซั่วนะคะ ดื่มแอลกอฮอล์แล้วปั่นจักรยาน    ดื่มแอลกอฮอล์แล้วไปปั่นจักรยาน ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่นเลยนะคะ ไม่ใช่แค่การขับขี่จักรยานเท่านั่น เพราะนี่หมายถึงการดื่มแล้วขับยานพาหะนะทุกชนิด เพราะคุณอาจโดนปรับสูงสุด 1 ล้านเยน ( ราวๆ 308,000 บาท) หรือจำคุกสูงสุด 5 ปีและถ้าไม่หยุดตามสัญญาณไฟจราจรจะโดนปรับ 5 แสนเยน (154,000 บาท) หรือติดคุก 3 เดือนอ้วกบนรถแท็กซี่    ถ้าเกิดเราอ้วกบนรถแท็กซี่สาธารณะ นั่นเป็นเรื่องใหญ่มากของญี่ปุ่น เพราะนั่นอาจหมายถึงการทำลายทรพย์สินของผู้อื่น เจ้าของรถแท็กซี่สามารถเรียกค่าเสียหายและค่าบำรุงรักษารถจากเราได้ ค่าเสียหาย เป็นไปตามที่ตกลง หากเราไม่จ่าย คนขับแท็กซี่สามารถเอาผิดเราทางกฎหมายได้ห้ามปีนเสาโทรศัพท์    ห้ามปีนเสาโทรศัพท์และเข้าใกล้เสาสัญญาณต่างๆมากเกินไป นอกจาก จะอันตรายกับตัวเราเองแล้ว อาจผิดกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นด้วย เพราะคนที่จะปีนได้ต้องมีใบอนุญาตจากการไฟฟ้าเท่านั้น สูบบุหรี่ในบริเวณที่ห้ามสูบ   ห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์ห้ามสูบ เป็นกฏสำคัญของชาวญี่ปุ่นที่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้ายังฝ่าฝืนจะต้องโดนค่าปรับหรือจำคุกตามกฏหมายของทางญี่ปุ่น โทษฐาน ฝ่าฝืนกฎและทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน นอกจากจะผิดกฏหมายแล้วคุณอาจจะถูกตำหนิโดยผู้คนที่พบเห็นอย่างซึ่งๆหน้าดูถูกผู้อื่น    หากดูถูกเยาะเย้ยผู้อื่นให้ได้รับความอับอายต่อหน้าผู้คน ถือเป็นการกระทำที่ชาวญี่ปุ่นนั่นรังเกียจเป็นอย่างมาก แม้จะต่อหน้าคนอื่นหรือไม่ต่อหน้าก็ตาม หากผู้นั้นไม่ได้ยินยอมถือว่ามีมีความผิดทางกฎหมาย อาจจะได้ไปนอนเยาะเย้ยในคุกแทน ห้ามทิ้งขยะ    กฎหมายของทางญี่ปุ่นหรือว่าของประเทศไหนรวมถึงไทยเราเองด้วย ก็เข้มงวดเรื่องการทิ้งขยะถูกไม่ถูกที่ถูกทาง ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่ทางญี่ปุ่นนั้นมีกล้องวงจรเยอะมาก สำหรับจับตาตามจุดสำคัญที่มีคนแอบทิ้งขยะบ่อย ควรทิ้งขยะให้ถูกที่ ถึงแม้ขยะชิ้นนั้นจะเล็กแค่ไหนก็ตาม จะได้ไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง ขโมย   การขโมยของผู้อื่นหรือหยิบของผู้อื่นไปโดยที่ไม่ได้ขอ หรือเจ้าของไม่รับรู้ ถือว่าเป็นการขโมย มีโทษทางกฎหมาย และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก กระทั้งการเก็บของผู้อื่นได้แล้วเผิกเฉย ก็มีโทษตามกฏหมาย ทั้งปรับและจำคุก ซึ่งกฎหมายของญี่ปุ่นจะเข้มงวดมาก ห้ามทำเด็ดขาดพูดเสียงดัง   ใครจะไปคิดแค่พูดเสียงดัง ที่ต่างประเทศก็ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายแล้ว ที่ญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน การพูดเสียงดังเกินไปในที่สาธารณะ ทำให้ผู้อื่นได้รับความรำคาญเดือดร้อน คุณอาจจะโดนแจ้งจับข้อหา พูดจาเสียงดังทำให้ผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงรำคาญ อาจมีโทษปรับและจำคุกก็ได้   ถ้าอยู่ประเทศไทยบางสิ่งบางอย่าง  อาจจะยอมความไกล่เกลี่ยกันได้ แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่น ถ้าทำผิดกฎหมาย ก็คือผิด เพราะฉะนั้นควรศึกษาดี การวางตัว นั้นสำคัญไม่ว่าจะไปประเทศไหนๆ ควรให้เกียรติแก่สถานที่นั้นๆด้วย

หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ ฟูนายะ เมืองชนบทในญี่ปุ่น

หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ ฟูนายะ เมืองชนบทในญี่ปุ่น

421

   หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ ฟูนายะ เมืองชนบทในญี่ปุ่นในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่มีชื่อเสียง ทำให้ในปัจจุบันมีสิ่งที่น่าสนใจตกทอดมาหลายอย่าง ตั้งแต่ประเพณีการแสดงต่างๆ อาหารขึ้นชื่อเฉพาะของหมู่บ้านแท้ๆ และการแต่งกาย จุดเด่นของหมู่บ้านนี้คือรูปแบบของบ้านเรือนต่างๆที่เรียงกันอยู่ 230 หลังริมอ่าวIne ที่ไม่เหมือนที่ไหนๆในญี่ปุ่นเลย เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่นี้เลยก็ว่าได้ ปัจจุบันนี้เมืองอิเนะแห่งนี้ กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอย่างมาก     เมืองอิเนะเป็นเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโต มีประชากร 2,500 คนอาศัยอยู่เลียบแนวเส้นโค้งที่ทอดยาวของอ่าวอิเนะ เรียงรายไปด้วยบ้านลักษณะแปลกตาที่เรียกว่า ( ฟุนายะ ) เป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมในท้องถิ่น โดยด้านล่างจะเป็นท่าเรือ อาชีพหลักของหมู่บ้านแห่งนี้คงไม่พ้นชาวประมงแน่นอนส่วนมาก เพราะเมืองแห่งนี้มีอุตสาหกรรมการประมงที่เฟื่องฟูมาก แหอวนก็เป็นหนึ่งในทักษะการตกปลาที่สำคัญที่สุดของชาวประมง ในเมืองอิเนะ ผู้มาเยือนจะได้เรียนรู้พื้นฐานการใช้แหอวนจากชาวประมงซึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วยกิจกรรมผูกเชือกป่าน    เมื่อเรียนรู้พื้นฐานแล้ว ท่านยังสามารถสร้างลูกลอยแก้วของตัวเองได้โดยการนำเชือกป่านมาผูกมัดรอบลูก ในอดีตชาวประมงจะใช้ลูกลอยแก้วเหล่านี้เป็นทุ่น จนกระทั่งทุ่นเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วยทุ่นพลาสติก เหมาะสำหรับเป็นของที่ระลึกในการท่องเที่ยวครั้งนี้ กิจกรรมล่องเรือ   นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมอ่าวอิเนะ ท่องเที่ยววนรอบอ่าวอิเนะซึ่งรายล้อมไปด้วยบ้านแบบฟุนายะ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยทรงหมู่บ้านที่สวยงามแปลกใหม่ รายล้อมไปด้วยภูเขาสีเขียวดูแล้วสบายตา เหมาะกับการพักผ่อน กิจกรรม นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารกับฝูงนกนางนวลที่บินแวะเวียนมาที่เรืออีกด้วย โดยอาหารจะใช้เป็นข้าวเกรียบกุ้งที่ท่าเรือจำหน่าย เป็นอาหารสำหรับให้นกโดยเฉพาะ และการจะเที่ยวชมบ้านเรือนริมน้ำก็ทำได้หลายวิธี จะชื่นชมอ่าวอิเนะทางเรือก็ได้ หรือจะใช้จักรยานก็ได้นะคะกิจกรรมปั่นจักรยาน    มีจักรยานให้ใช้ฟรีเลยค่ะ แต่เรือจะมีค่าใช้จ่ายนะคะ มีเจ้าหน้าที่ขับเรือพาชมอ่าวรอบนึงจะใช้เวลาราว 30 นาทีต่อรอบ แต่สำหรับจักรยานฟรีสามารถจับใช้ได้เลย มีจอดเอาไว้ให้ตามจุด ขับขี่เสร็จก็เอากลับมาคืน หรือไปคืนที่อีกจุดข้างหน้า มีจุดคืนตามทางเข้าไปในหมู่บ้าน คือจุดไหนก็ได้ค่ะ จะเรือ หรือจักรยานก็เลือกได้ตามสะดวกเลยค่ะ    สำหรับใครที่ติดใจอยากพักผ่อนเอาบรรยากาศต่อ ก็สามารถพักแรมที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้เลย พร้อมเพลิดเพลินกับเมนูอาหารประจำท้องถิ่นและอาหารทะเลสดๆ ที่จับได้ในอ่าวอิเนะอีกด้วย ขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมง อาหารทะเลก็ต้องสดอย่าบอกใคร สำหรับใครที่ชื่นชบการรับประทานอาหารทะเลเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว บอกเลยว่าการกินซาชิมิปลาสดๆ มันฟินจริงๆ โดยเฉพาะปลาบุริขึ้นชื่อของที่นี้แล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องหอยนางรมตัวเบ้อเริ่มที่สดมากๆ เรียกได้ว่าทานกันแบบจุใจไปเลย และยังมีโรงกลั่นสาเกอีกด้วยนะ โรงกลั่นสาเกมุไคชุโซ หากพูดถึงเหล้าบ้านเรา สาเกก็เป็นเหล้าชนิดหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกัน ที่หมู่บ้านอิเนะแห่งนี้    นอกจากเราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวประมงแล้ว เรายังได้เรียนรู้เรื่องการกลั่นเหล้าสาเกที่โรงกลั่นสาเกมุไคชุโซ ซึ่งเปิดกิจการมานานกว่า 260 ปีแล้ว และเป็นที่เล่าขานกันว่าช่างฝีมือผู้กลั่นเหล้าญี่ปุ่นของที่นี่เป็นผู้หญิงทั้งหมด โดยเหล้าที่ได้รับความนิยมของที่นี่ก็คือ เหล้า“อิเนะมังไค” (Ine Mankai) ซึ่งจะมีรสหวานและมีสีคล้ายไวน์โรเซ่ นอกจากนี้แล้วที่นี่ยังคงส่งออกสาเกทางน้ำเหมือนในอดีต เราสามารถเข้าไปดูกระบวนการผลิต และเลือกซื้อสาเกอันเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของที่กลับไปเป็นของฝากจุดชมวิวยอดฮิต   จุดชมวิวที่แนะนำ จุดชมวิว ฟุนะยะ โนะ ซาโตะเป็นจุดชมวิวอ่าวอิเนะจากมุมสูงที่สวยที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมของร้านอาหารที่จะเสิร์ฟปลาตามฤดูกาลที่จับได้ที่ท่าเรือประมงอิเนะ และยังมีร้านของฝากอีกด้วย เรียกได้ว่าทั้งได้ชมวิว แล้วยังอิ่มท้องอีกด้วย การเดินทาง   โดยเดินทางจากเกียวโต โดยรถไฟและบัสเป็นเวลาราว 3 ชั่วโมง หรือเดินทางจากสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate) โดยรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

หมู่บ้านหลังคาโบราณ ชิราคาวะโกะ (Shirakawa-go) มรดกโลกหลังคาบ้านของชาวญี่ปุ่น

หมู่บ้านหลังคาโบราณ ชิราคาวะโกะ (Shirakawa-go) มรดกโลกหลังคาบ้านของชาวญี่ปุ่น

622

  หมู่บ้านชิราคาวะโกะ หมู่บ้านมรดกโลกที่ญี่ปุ่น ตั้งอยู่กลางหุบเขาในจังหวัดกิฟุ เป็นหนึ่งในที่เที่ยวของญี่ปุ่นที่ไม่ว่าใครก็ต่างอยากมา สัมผัสความงดงามแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมแท้ๆ หมู่บ้านชิราคาวาโกะมีความสวยของธรรมชาติ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ล้อมไปด้วยเทือกเขา และแม่น้ำ หลังคาบ้านอันเป็นเอกลักษณ์สวยเหมือนมือพนม หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงดำรงการใช้ชีวิตที่มีมาแต่เดิมในอดีต เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 250 ปี จนเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านมรดกโลก การมาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้จะได้รับเสน่ห์กลิ่นไอความงดงามที่แม้ดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรากเหง้าวัฒนธรรมของความเป็นญี่ปุ่น สะท้อนผ่านรูปทรงของบ้านแต่ละหลังที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า กัสโชสึคุริ กัสโช แปลว่า พนมมือ เหมือนหลังคาบ้านนั้นเอง    วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างต่างๆ ล้วนแต่มาจากวัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด ความสวยงามของคนญี่ปุ่นสมัยก่อนสร้างมาให้เราได้เดินชม เที่ยวเล่น ถ่ายรูปสวยๆ การเดินเล่นรอบหมู่บ้านให้บรรยากาศเหมือนย้อนยุคเข้าไปในญี่ปุ่นสมัยก่อนเลย และไม่ว่าฤดูไหนหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ก็สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูแต่ละฤดูก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันฤดูใบไม้ผลิ    แน่นอนว่า ถ่ายรูปสวยๆได้ทุกที่เลย เพราะมีซากุระเบ่งบาน หลังหมดฤดูหนาวก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่ต้นไม้ใบหญ้าจะกลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง ซึ่งในช่วงนี้อากาศจะเย็นสบายกำลังดี ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 13 – 25 องศา ไฮไลท์อยู่ที่ช่วงกลาง-ปลายเดือนเมษายนจะเป็นช่วงที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง ถ่ายรูปได้สวยทุกมุม ให้ความรู้สึกสวยหวานโรแมนติกฤดูร้อน   ทั่วทั้งหมู่บ้านก็จะเต็มไปด้วยนาข้าวสีเขียวชอุ่ม อากาศหน้าหายใจสุดๆ หากใครอยากมาเห็นบรรยากาศหมู่บ้านในช่วงที่ทุ่งนาเขียวขจี ต้นไม้เขียวชอุ่ม ท้องฟ้าแจ่มใส ต้องมาช่วงฤดูร้อนเลยค่ะ เป็นช่วงที่เริ่มทำการเพาะปลูก มองเห็นวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้านได้แบบชัดเต็มตา เหมาะกับการเที่ยวกลางแจ้ง ถึงแม้จะเรียกว่าเป็นฤดูร้อน แต่ที่ ชิราคาวาโกะ อากาศก็ไม่ร้อนจัดเหมือนเมืองไทย เนื่องจากตั้งอยู่กลางทิวเขา อุณหภูมิประมาณ 27 – 33 องศา ช่วงต้นฤดูอาจจะมีฝนตกบ้าง แต่โดยรวมก็อากาศดี ได้เห็นหมู่บ้านในฟีลสดชื่นฤดูหนาว   เรียกว่าเป็นช่วงไฮไลท์ของการเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะที่หลายคนรอคอยเลยก็ว่าได้ สำหรับช่วงฤดูหนาวที่ทั่วทั้งหมู่บ้านและภูเขาโดยรอบจะปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ดูฟูนุ่มมีเสน่ห์สวยงามหนาวจับใจ อุณหภูมิประมาณ -10 ถึง 0 องศา และจะมี เทศกาลแสดงไฟหมู่บ้านชิราคาวาโกะ หรือ Shirakawago Light Up ที่บ้านแต่ละหลังจะเปิดไฟยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศที่สวยงาม โดยจะเปิดไฟเฉพาะคืนวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ติดต่อกัน 6 สัปดาห์ บอกเลยว่าสวยโรแมนติกมากๆฤดูใบไม้ร่วง   ในช่วงนี้อากาศจะเริ่มกลับมาเย็นขึ้น อุณหภูมิประมาณ 10 – 18 องศา ใบไม้ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนสี จากสีเขียวกลายเป็นสีส้ม แดง น้ำตาล เหลือง สลับกันไป ทำให้ทั่วหมู่บ้านล้อมรอบไปด้วยสีสันของธรรมชาติ ดูสดใสไปอีกแบบ ช่วงเวลาแนะนำสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่คือ ปลายเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน ได้ใส่เสื้อกันหนาวเบาๆ พร้อมกับวิวของใบไม้เปลี่ยนสีรวมจุดเช็คอินสำคัญ    มาหมู่บ้านชิราคาวาโกะทั้งที จะเหงาได้ไงกัน แอดมีจุดเช็คอินที่ต้องมาเช็คอิน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนมาไม่ถึง ขอหยิบยกมาแนะนำ 4 จุดเด็ดๆ ไว้ปักหมุดไปถ่ายรูปกันได้เลย บ้านโบราณสามหลัง   มุมถ่ายรูปยอดฮิตในหมู่บ้าน ชิราคาวาโกะ ที่ทุกคนมาแล้วต้องแวะ แชะถ่ายรูปเก็บไว้รัวๆ ก็คือ บ้านโบราณสามหลัง เป็นบ้านโบราณสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมเรียงติดกันสามหลัง ถ้ามาแต่ละช่วงฤดูกาลก็จะได้ความสวยงามที่แตกต่างกัน ช่วงฤดูร้อนบริเวณด้านหน้าบ้านจะเป็นทุ่งนาเขียวขจี ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งนาจะเป็นสีเหลืองทอง แต่ถ้ามาช่วงฤดูหนาวแปลงนาก็จะปกคลุมด้วยหิมะ ขาวโพลนไปทั่วพื้นที่ อยากได้มุมมองแบบไหนเลือกช่วงมาให้ดีๆ นะคะวัดเมียวเซนจิ   มาต่อกับ วัดเมียวเซนจิ เป็นวัดที่อยู่ทางเหนือของหมู่บ้าน มีความแตกต่างจากวัดทั่วไป ด้วยสถาปัตยกรรมแบบกัสโชสึคุริ คงความเก่าแก่ไว้ได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งภายในวัดยังเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น จัดแสดงงานและเครื่องใช้ต่างๆ สมัยอดีตของชาวบ้านอีกด้วย ถือเป็นวัดที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจุดชมวิวเท็นชุคาคุ   เป็นจุดที่พลาดไม่ได้เลยกับ จุดชมวิวเท็นชุคาคุ ซึ่งอยู่บนเนินเขาใกล้หมู่บ้าน หลายคนคงเคยเห็นภาพถ่ายมุมกว้างของหมู่บ้านสวยๆ ซึ่งมาจากจุดชมวิวนี้ทั้งนั้น การไปที่จุดนี้จะมีบริการรถรับ-ส่ง หรือจะเดินเรื่อยๆ จากหมู่บ้านขึ้นไปก็ได้ ออกกำลังเดินขึ้นเนินเขาเล็กน้อย พอขึ้นไปถึงแล้วก็จะได้ชมวิวสวยจับใจ หายเหนื่อยแน่นอนศาลเจ้าชิรากาวะ ฮาจิมัง   อีกหนึ่งศาลเจ้าเก่าแก่แห่งเดียวในหมู่บ้านที่น่ามาเคารพสักการะก็คือ ศาลเจ้าชิรากาวะ ฮาจิมัง ศาลเจ้าที่ดูเรียบง่าย แต่คงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากผู้คนจะแวะเข้ามากราบไหว้ขอพรกันแล้ว ยังเป็นหอผลิตสาเกโดบุโรคุ (Doburoku) สาเกที่หมักจากข้าวในหมู่บ้าน ซึ่งช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมของทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลสาเกอีกด้วย ถ้าใครเป็นสายแข็งอยากลองชิมสาเกของที่นี่ก็แวะไปชิมกันได้นะการเดินไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะ   สามารถนั่งรถไฟจากโอซาก้า (Osaka) หรือ นาโกย่า (Nagoya) มาลงที่เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน 

หุบเขาจิโงคุดานิ ฉายา

หุบเขาจิโงคุดานิ ฉายา "หุบเขานรก" แห่งเมืองโนโบริเบตสึ ญี่ปุ่น (Jigokudani Noboribetsu)

1674

   หุบเขานรกจิโงคุดานิ ขึ้นชื่อมาก็น่ากลัวพอสมควรใช่ไหมล่ะ แต่จริงๆแล้วสถานที่แห่งนี้เป็นที่เที่ยวที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ ที่อยากจะมาเที่ยวญี่ปุ่น และอยากมาสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติของหุบเขาแห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่เป็นสถานที่เที่ยวที่นิยมอันดับต้นๆของญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเอเชีย เพราะกระแสและชื่อเสียงที่มาจากเหล่าอินฟลูชื่อดัง ต่างพากันแบกกล่องมาที่นี่ไม่ขาดสาย   หุบเขานรกจิโงคุดานิ (Jigokudani noboribetsu ) มีฉายาหนึ่งว่า “Hell Valley” ตั้งอยู่เหนือย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึ(NoboribetsuHot Springs) ในจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) เรียกได้ว่าเป็นหุบเขาที่มีความงดงาม อีกทั้งน้ำร้อนในลำธารของหุบเขาแห่งนี้มีแร่ธาตุกำมะถัน ซึ่งก็เป็นแหล่งต้นน้ำของย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึนั้นเอง ชื่อขึ้นว่าหุบเขานรกแต่ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด แต่กับกันอากาศที่นี้หนาวมาก     นักท่องเที่ยวต้องเดินตามเส้นทางเดินเรียบๆ ไปตามทางหุบเขา ประมาณ 20-30 นาที ถึงจะมีสะพานให้เดินลงไปถ่ายรูปได้ โดยทางเดินจะทำมาจากปูนปูเรียบตลอดทางและกำแพงไม้ป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินออกเส้นทาง เพราะสถานที่แห่งนี้มีน้ำพุร้อนที่ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่ก็จะมีจุดที่จัดเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนแช่เท้าสัมผัสบรรยากาศบ่อน้ำร้อนอุ่นๆ ตลอดทางเดินจะเป็นพื้นที่โล่งต้นไม้น้อยแต่ก็ยังจะพอมีต้นไม้ให้เราได้เห็นในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะยิ่งสวยและเข้ากับบรรยากาศบ่อน้ำพุมาก     จุดสำคัญจะได้เจอเป็นบ่อโอยุนุมะ (Oyunuma) ซึ่งบ่อนี้เป็นเป็นบ่อน้ำร้อนกำมะถัน อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส พอยิ่งขึ้นไปสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็ตรงที่จะมีบ่อน้ำร้อนให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆตลอดทาง ก็จะเป็นบ่อเล็กๆ บางบ่อมีอุณหภูมิที่ร้อนกว่า และยังมีบ่อโคลนอีกด้วย น้ำที่ไหลออกจากบ่อโอยุนุมะ เป็นลำธารเรียกว่า “โอยุนุมะกาว่า (Oyunumagawa) ซึ่งไหลผ่านป่านเป็นแม่น้ำหลายร้อยเมตร จุดนี้เองเราสามารถนั่งเพลินพร้อมแช่เท้าท่ามกลางทัศนียภาพกันงดงามตระการตาของธรรมชาติที่แน่นมากๆ    ช่วงเวลาที่ควรไปเที่ยวสามารถไปได้ทุกวัน ชมการทำงานของพลังงานความร้อนใต้พิภพจากภูเขาไฟซึ่งยังคุกรุ่นอยู่ น้ำพุร้อนธรรมชาติคือสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งให้ความสนุกผ่อนคลาย แต่ว่าน้ำนั้นมาจากที่ไหนกันนะ ในโนโบริเบ็ทสึ คุณจะได้เห็นแหล่งกำเนิดของน้ำเหล่านี้พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน และมาผสานกับแร่ธาตุต่างๆ น้ำปริมาณมากกว่า 10,000 ตันที่ประกอบไปด้วยแร่ธาติจากธรรมชาติและจะถูกส่งไปยังโรงแรมและที่พักขนาดเล็กในเมืองอนเซ็น การเดินไปท่ามกลางบ่อน้ำร้อนตามทางไม้กระดาน แล้วสัมผัสกับความอบอุ่นที่ผิวคุณ สูดกลิ่นกำมะถัน ชมไอน้ำและสีสันจัดจ้านน่าทึ่งจากน้ำ หิน และต้นไม้ที่อยู่โดยรอบ สิ่งที่สำคัญอย่าลืมแต่งกายให้เข้ากับสถานที่ด้วยนะคะ จะได้สะดวกสบายในการท่องเที่ยว วิธีการเดินทางสามารถเดินทางมายังหุบเขานรกโนโบริเบ็ทสึ ได้ด้วยรถบัสหรือรถยนต์ จากสถานีโนโบริเบ็ทสึ ให้นั่งรถบัสมายังสถานีรถบัสโนโบริเบ็ทสึอนเซ็น จากที่นั่นจะมีทางไม้กระดานไปยังหุบเขานรก ใช้เวลาเดิน 5 นาที จากสถานีซัปโปโร ให้นั่งรถบัสด่วนหรือรถไฟ 1 ชั่วโมงครึ่งก็จะมาถึง

อัพเดทวิธีเข้าประเทศญี่ปุ่น เที่ยวอย่างไรจะปลอดภัยและคุ้มค่า ฉบับ 2024

อัพเดทวิธีเข้าประเทศญี่ปุ่น เที่ยวอย่างไรจะปลอดภัยและคุ้มค่า ฉบับ 2024

343

   ญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ต่างพากันอยากจะมาสัมผัส วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่ขึ้นชื่ออีกมากมาย และที่สำคัญนั้นการเข้าญี่ปุ่น ยังเปิดกว้างสำหรับหลายๆประเทศอีกเช่นกัน วันนี้แอดเลยมีวิธีการเตรียมตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นว่าควรจะต้องเตรียมตัว เตรียมอะไรกันบ้าง ให้พร้อมกับการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นฉบับอัพเดทใหม่ 2024 ไปดูเลยPassport   การเดินทางข้ามประเทศไม่ว่าจะประเทศไหนของมุมโลกล้วนต้องมีพาสปร์อต ถือเป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญสำหรับนักเดินทางต้องมี และเป็นหัวใจสำคัญของการผ่านด่านแรกสำหรับการเข้าประเทศ อย่าง ต.ม. นอกจากต้องมีมันแล้ว พาสปอร์ตจะต้องมีความถูกต้องสมบูรณ์ ไม่เสียหาย และอย่าลืมเช็ควันหมดอายุกันให้ดีๆนะคะ อย่างน้อยต้องมีอายุมากกว่า 6 เดือนนะคะ ไม่อย่างงั้นละก็ อาจจะไม่ใช่แค่ผ่าน ต.ม ไม่ได้แล้ว บางสายการบินอาจปฏิเสธการเกินทางของคุณได้เลยทันทีคะจองตั๋วเครื่องบิน   การจะไปเที่ยวโตเกียวทางไกลก็ต้องมีตั๋วเครื่องบินในการนำทาง ซึ่งปัจจุบันก็มีสายการบินให้เลือกกันอย่างมากมาย มีให้เลือกครบตามกำลังซื้อของแต่ละบุคคลได้ ทั้งนี้ราคาตั๋วเครื่องบินก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น การจัดโปรโมชั่นของสายการบิน การซื้อภายในบูธ หรือ การจองล่วงหน้าเป็นระยะเวลานานๆ ก็ช่วยให้ได้ราคาดี หรืออีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยให้คุณสะดวกสบายขึ้นนั้น คือการจองโปรแกรมเที่ยวกับบริษัททัวร์ญี่ปุ่น  วิธีนี้ถือเป็นที่นิยมมากเลยทีเดียว นอกจากจะคุมงบได้แล้ว ยังมีคนดูและเรื่องเอกสารให้ด้วย แต่ยังไงก็ตามควรเลือกและดูบริษัททัวร์ที่ไว้ใจได้และน่าเชื่อถือ สมัยนี้ของปลอมเยอะนะคะ จะดีที่สุด ควรดูจากรีวิวและประสบการณ์ของบริษัทนั้นๆ จองโรงแรม   จองโรงแรมที่พักจำเป็นมากอย่างหนึ่งเช่นกัน ปัจจุบันมีหลายต่อหลายวิธีให้เลือกจองกันได้โดยง่ายนะคะ ไม่ว่าจะทาง เว็บไซต์ต่างๆ หรือแอพพลิเคชั่นก็ดี แต่ก็ต้องบอกเลยว่ายังมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยเลยค่ะที่จะโดนเทระหว่างทาง ทางที่ดีควรเลือกจองกับเอเย่นทัวร์ที่น่าเชื่อถือและมีเครดิตมากพอค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเลือกโรงแรมได้อย่างตรงจุดและตอบโจทย์ อย่างเช่น การจองโรงแรมใกล้ๆสถานที่เที่ยวจะทำให้สะดวกสบายในการเดินทาง หรือใกล้สถานีรถไฟ เป็นต้นทำแพลนเที่ยว   ไปต่างบ้านต่างเมืองเราไม่คุ้นหรือรู้จักสถานที่เที่ยวต่างๆมากนัก จึงจำเป็นต้องทำแพลนไว้ว่าเราจะไปพักที่ไหน ย่านนั้นๆมีอะไรให้เราไปเที่ยวได้บ้าง แถวไหนที่คนนิยมไปกันจะได้ไม่เสียเวลาคิดหา จะได้เที่ยวตามแพลนสนุกๆเพลินๆกันเลย อีกอย่างการไปเที่ยวต่างประเทศนั้น มีข้อจำกัดเรื่องเวลา บางคนมีข้อจำกัดเรื่องงบใช้จ่าย การที่เราแพลนว่าจะไปไหน กินอะไร และทำอะไรได้บ้างนั้น ก็ช่วยได้เยอะมากเลยค่ะ เพราะถ้าเกิดไม่แพลนก่อนแล้วทำให้เสียเวลาหรือพลาดตามสถานการณ์ขึ้นมาอาจจะทำให้หมดสนุกไปได้เลยลงทะเบียน visit Japan   การลงทะเบียนนี้จะทำไม่ทำก็ได้นะ แต่แนะนำทำไปเลยจะดีกว่าจะไปไม่ต้องเสียเวลาไปกรอกที่ ต.ม จะได้ประหยัดเวลาเราด้วย หรือบางสายการบินจะแจกให้ลงทะเบียนตั้งแต่ขึ้นเครื่องเลยค่ะ ทางที่ดีควรพกปากกาไปด้วยจะดีมาก แต่ถ้าจำเป็นต้องไปกรอกที่ ต.ม จริงๆก็ไม่เสียเวลามากนัก และมีตัวอย่างการกรอกให้ดูอีกด้วยซิมเน็ต   แอดแนะนำให้ซื้อจากไทยไปเลยจะได้ไม่ต้องหาซื้อให้เสียเวลา พร้อมใช้ไม่ต้องยุ่งยาก เนื่องจากการไปซื้อซิมที่ต่างประเทศนั้น อาจจะมีขั้นตอนให้ยุ้งยากพอควร วันนี้แอดเลยขอแนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดคือซื้อจากไทยไปได้เลย หรือใครไม่อยากเปลี่ยนซิม ก็ซื้อแพ็คเกจเน็ต สำหรับใช้ต่างประเทศไปได้เลย มีทุกเครือข่ายให้เลือก ราคาตามความเร็วแรงของเน็ต และสามารถเปิดใช้โรมมิ่งได้ในขณะอยู่ต่างประเทศ สะดวกมากๆค่ะแลกเงินสด   ห้ามลืมโดยเด็ดขาด ต้องแลกเงินสดติดตัวกันไว้ด้วยนะทุกคนจำเป็นมาก ไม่สามารถขาดได้เลย ควรมีเงิดสดทั้งเงินใช้และเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน หรือจะสมัครบัตร travel card เผื่อเงินสดไม่พอสามารถใช้ได้เกือบทุกร้าน แถมยังกดเงินสดได้ด้วยตามตู้เอทีเอ็มของญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามอย่าไว้ใจแค่ทางเลือกเดียว แอดแนะนำว่าควรจะมีเงินสดติดตัวไปด้วย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะซื้อประกันการเดินทาง   การเดินทางในทุกที่ย่อมมีความเสี่ยงค่ะ การซื้อประกันไม่ใช่เรื่องควรละเลย ปัจจุบันมีหลายบริษัทและหลายแพ็คเกจให้เลือก เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นต้องการเข้ารักษาพยาบาล สามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อเข้ารักษาที่สถานพยาบาลญี่ปุ่นได้ อีกอย่างประกันเดินทาง ไม่ได้ราคาแพงอย่างที่คิดเลยค่ะ สามารถเลือกซื้อได้ตามกำลัง เผื่อไว้จะได้เที่ยวเต็มที่และสบายใจการจัดกระเป๋าเดินทาง    การจัดกระเป๋าเดินก็ต้องพร้อม ควรเช็คสภาพอาการของช่วงเวลานั้นจะได้ง่ายกับการเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมของเรานั้นเอง หรือใครจะไปช้อปที่นู้นก็ได้นะเสื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยเยอะแยะมากมายจะได้ซื้อเสื้อผ้าสวยๆกลับมาด้วย ในเรื่องนี้เราอาจจะต้องคำนึ่งถึงน้ำหนังสัมภาระของเราที่สามารถขึ้นเครื่องได้ (ถ้าไม่อยากเสียค่าน้ำหนักเพิ่ม) ควรคิดว่าเราจะหิ้วอะไรกลับมาด้วยบ้าง ต้องคิดเผื่อไว้ แต่แอดอยากจะแนะนำอย่างหนึ่ง สำหรับนักเที่ยวสายกิน ไปญี่ปุ่นอย่าลืม น้ำจิ่มซีฟู๊ดค่าา ภาษี   เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่ทราบ หรือมองข้ามในเรื่องนี้ ว่าควรรู้และเตรียมตัวในการช้อปให้ดีนะคะ เพราะสินค้าหรือของบางอย่างอาจจะต้องเสียภาษีในการนำเข้าและออกนอกประเทศควรเช็คและศึกษาข้อมูลกันดีๆนะคะ จะได้หายห่วงเวลาผ่านด่านตรวจต่างๆ บางคนโดน บางคนไม่โดน มันอยู่ที่ดวงดีๆนี่เองค่ะ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้หิ้วกลับเยอะเกินไป หรือ ดูเป็นธุรกิจเกินไป ก็มักไม่เกิดปัญหาค่ะ     อย่างไรก็ตามจะเดินทางเที่ยวทั้งที ต้องเที่ยวอย่างมีความสุขและสบายใจที่สุดนะคะ ฉนั้นแล้วทุกข้อที่แอดมินนำเสนอวันนี้ มีประโยชน์สำหรับทุกคนแน่นอนค่ะ ไม่ควรมองข้ามหรือพลาดเลยสักข้อนะคะ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากไทยเป็นอันดับต้นๆ คนไทยเดินทางไปเที่ยวกันเยอะ คนญี่ปุ่นก็น่ารักค่ะ เขารักและเอ็นดูคนไทย เป็นบ้านพี่เมืองน้อง ถ้าเงินพร้อมและมีเวลาต้องไปให้ได้เลยนะคะ