เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

ฆูนุงซิลีปัต ชมทะเลหมอก 360 องศาทั้งปีที่เบตง จังหวัดยะลา

ฆูนุงซิลีปัต ชมทะเลหมอก 360 องศาทั้งปีที่เบตง จังหวัดยะลา

295

#ไปเที่ยวด้วยกัน จะพาทุกท่านไปเที่ยวทะเลหมอกในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ที่ชื่อว่า ฆูนุงซิลีปัต สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัด ยะลา ถือว่าเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่สามารถชมวิวได้ 360 องศา และสิ่งที่สำคัญนั่นก็คือเราสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยอลังการม๊ากมาก สิ่งแรกเมื่อเราขึ้นไปถึงจุดชมวิวบนภูเขานั่นก็คือ เราสามารถเห็นหมอกตามไหล่เขาเรียงรายคลอเคลียงสลับซับซ้อนกันไปมาอย่างสวยงาม ถ้าเราหันมองไปรอบๆตัวเราๆก็จะเห็นหมอกขาวจรดขอบฟ้าเลยทีเดียว บอกได้เลยนะว่าเป็นสถานที่ชมหมอกที่สุดยอดแห่งความงามอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทยเลยทีเดียว สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบทะเลหมอก และกำลังหาสถานที่เที่ยวที่ไหนสักแห่งหนึ่ง #ไปเที่ยวด้วยกันขอแนะนำว่าคุณจะต้องไปชมทะเลหมอกที่นี่สักครั้ง รับรองว่าคุณจะประทับใจอย่างไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

5 วัดเขาแกกรัง หรือ วัดสังกัสรัตนคีรี จังหวัดอุทัยธานี

5 วัดเขาแกกรัง หรือ วัดสังกัสรัตนคีรี จังหวัดอุทัยธานี

22

ไปเที่ยวด้วยกัน ชวนคุณไปเที่ยว วันนี้เราพาทุกท่านไปเที่ยว จังหวัด อุทัยธานี ซืึ่งเดินทางไม่ไกลจาก กรุงเทพเท่าไหร่ เที่ยววัดเขาสะแกกรัง หรือ วัดสังกัสรัตนคีรี นั่นเอง เขาสะแกกรัง เป็นภูเขาลูกหนึ่งที่ตั้งกันเมืองอุทัย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ชื่อเดิมเรียกกัน ว่าเขาแก้ว ซึ่งเป็นที่ตังของวัดสังกัสรัตนคีรี หรือวัดสะแกกรังนั่นเอง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443  ยอดเขาสะแกกรังเป็นดินแดนที่ชาวอุทัยยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในวัด เป็นที่ ประดิษฐานของพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ของเมือง อุทัยมา ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ชาวเมืองต่างให้ความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารหลังใหม่ฝั่งตรงข้ามบันไดทางขึ้นยอดเขาสะแกกรัง

6 ตลาดน้ำขวัญเรียม ของกินเริดสุด ขาเที่ยวห้ามพลาดเด็ดขาด

6 ตลาดน้ำขวัญเรียม ของกินเริดสุด ขาเที่ยวห้ามพลาดเด็ดขาด

23

สวัสดีนะครับผม วันนี้ ไปเที่ยวด้วยกัน จะพาทุกท่านมาที่ ตลาดน้ำขวัญเรียม ตลาดนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ใกลเท่าไหร่ใครที่อยู่แถวบางกะปิ จะรู้จักกันดีนะครับ เป็นตลาดน้ำใจกลางกรุง ริมคอลงแสนแสบเชื่อมระหว่างสะพานสองฝั่งคลองเข้าด้วยกัน ระหว่างวัดบำเพ็ญเหนือ ซอย เสรีไทย 60 และวัดบางเพ็งใต้ ซอยรามคำแหง 185 นะครับ พอเข้ามาในซอยแล้วมีที่จอดรถก็สะดวกสบาย มีร้านค้าสินค้า OTOP แสนอร่อยจากพ่อค้าแม่ค้าตลอดฝั่งคลอง แถมยังเลือกซื้อเป็นของ ฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากผู้คนทางบ้านอันเป็นที่รักได้อีกด้วยจร้า เริ่มจากร้านกาแฟสดให้ท่านซื้อทาน มีข้าวหลามให้ท่านได้ซื้อทานเล่น มีทั้งของคาวและของหวานให้เลือกซื้อ เยอะแยะมากมายเลยแหละทีเดียว และที่นี่มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิเช่น กิจกรรมสำหรับเด็กๆ การให้อาหารสัตว์ ล่องเรือชมความงามสองฝั่งคลอง ปล่อยนกปล่อยปลา และงานประเพณีทางน้ำ ฯลฯ พร้อมเลือกชิมอาหาร OTOP 

สตาร์สีดส์ คาเฟ่ Starseeds Cafe ร้านกาแฟ นครนายก ท่ามกลางสวน เต็มไปด้วยต้นไม้

สตาร์สีดส์ คาเฟ่ Starseeds Cafe ร้านกาแฟ นครนายก ท่ามกลางสวน เต็มไปด้วยต้นไม้

21

นครนายก เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ไม่เพียงแค่ใกล้กรุงเทพ แต่จังหวัดนี้เป็นที่นิยมและรู้จักของนักเที่ยวทั้งหลายขึ้นทุกวันเลย สำหรับวันนี้จะพาทุกท่านไปสัมผัสบรรยากาศ ร้านกาแฟ จังหวัดนครนายก ชื่อ สตาร์สีดส์ ค่าเฟ่ แถวย่านองค์รักษ์ ร้านนี้บรรยากาศร่มรื่นมาก ท่ามกลางต้นไม้ในสวนน้อยใหญ่ แถมยังมีสระน้ำใหญ่กลางสวน ชวนให้นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศชิวๆ รับรองว่ามาที่ สตาร์สีดส์ ค่าเฟ่ Starseeds Cafe ที่นี่แล้วคุณจะถูกใจอย่างแน่นอน สำหรับขาถ่ายภาพแล้วเพื่อนๆจะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายภาพและเซลฟีสวยๆ เราจะได้ภาพแบบสวยๆ โอ้วแค่คิดแล้วก็ฟินแล้ว.... ที่สำคัญอย่าลืมพาแฟน ไปด้วยกัน นะจร้าาาาาาาาาาาา

วิธีป้องกันไวรัสโคโรนาเบื้องต้น ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 แพร่กระจายจากเมืองอู่ฮั้นประเทศจีน

วิธีป้องกันไวรัสโคโรนาเบื้องต้น ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 แพร่กระจายจากเมืองอู่ฮั้นประเทศจีน

14

เป็นไวรัสใหม่ อยู่ในกลุ่มไวรัสโคโรนา Corona Virus ไม่เคยพบในมนุษย์มาก่อน ทุกคนในโลกใบนี้อาจจะติดได้เท่าเทียมกัน เป็นไวรัสที่พบอยู่ในสัตว์เกือบทุกชนิด และเป็นไวรัสที่สามารถข้ามกันไปมาระหว่างสัตว์กับคน คนกับสัตว์ ได้อย่างง่ายดาย จุดเริ่มต้นกำเนิดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้ ที่เมืองอู่ฮั่นมีผู้คนเยอะแยะมากมายติดเชื้อนี้ และการติดเชื้อไวรัสนี้ถ้ารักษาไม่ทัน ก็จะมีคำตอบเดียวคือ "เสียชีวิต" อย่างแน่นอน มีผู้คนตั้งคำถามเยอะแยะมากมายสำหรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาทางป้องกันสำหรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ด้วยกัน ไปติดตามกันเลย

ศาลเจ้าเทพจิ้งจอกอินาริ

ศาลเจ้าเทพจิ้งจอกอินาริ

2

  เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยว ที่มีความสำคัญและประวัติยาวนานพอสมควร ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มาก ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก หรือราวๆพันกว่าปีมาแล้วค่ะ ชาวญี่ปุ่นท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ภายในศาลเจ้าแห่งมีสีแดงเป็นหลัก มีเสาสีแดงขนาดใหญ่อยู่ประตูทางเข้า เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนที่ไปเยี่ยมชมต้องใช้เป็นแลนด์มาร์คถ่ายรูป จุดหน้าสนใจก็มีหลายจุด โดยเฉพาะทางเดินจะมีเสาสีแดงเรียงตามทางเดินไปเรื่อย สร้างความแปลกใหม่ให้ผู้คนที่พบเห็น ภายในยังมีแผ่นไม้ไว้ใช้สำหรับวาดหน้าตาจิ้งจอก แล้วเอามาห้อยรวมกันเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเลย ผู้คนก็จะวาดหน้าตาจิ้งจอกออกมาตามจินตนาการของใครของมัน มีเอกลักษณ์ศิลปะสุดๆ และขาดไม่ได้ก็จะเป็น โดยรอบบริเวณศาลเจ้าจะมีรูปปั้น และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกมากมาย มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ตัวใหญ่เยอะแยะนับไม่ถ้วน เพราะชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อนเชื่อกันว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์นำสาส์นของเทพเจ้าอินาริ คอยอวยพรให้พื้นที่ในบริเวณนั้น มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าว ปลูกพืช ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ เป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวข้าวและเกษตรกรรม การเดินเข้าศาล พอผ่านประตูโทริ ให้โค้งคำนับหน้าประตูทางเข้า 1 ครั้ง และให้เดินโดยชิดข้างใดข้างหนึ่งไม่ซ้ายก็ขวา เพราะตรงกลางคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นทางเดินของเทพเจ้า ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องและความเชื่อมาก ศาลเจ้าจิ้งจอกอินาริ ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีมานมนาน ทำให้ศาลเจ้าอินารินั้นมีมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นเลยนะ   ภายในศาลเจ้าก็ยังมีร้านค้า ขายอาหาร โดยอาหารแต่ละอย่างก็ได้สร้างชื่อให้ข้องจองกับศาลเจ้า เช่น ซูชิจิ้งจอก ของทอดจิ้งจอก ของกินที่ลงท้ายด้วยจิ้งจอก เพื่อความศิริมงคลนั้นเอง อีกทั้งยังมีร้านของฝาก ร้านเครื่องดื่ม ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนไปเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย บริเวณรอบๆศาลเจ้าก็จะมีศาลอื่นๆอยู่ใกล้บริเวณนั้นอีกมาก   เวลาปิด-เปิด เปิด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ เข้าเที่ยวชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย การเดินทาง  อยู่ด้านหน้าสถานีอินาริ ในสาย JR นาราไลน์ หรือจะเดินจากสถานีรถไฟ ฟูชิมิ อินาริ ของสายรถไฟเคฮังก็ได้ค่ะ

วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)

2

  สวัสดีค่ะวันนี้แอด จะพาทำความรู้จักกับวัดดังแห่งหนึ่งที่เกียวโตกัน ว่าที่วัดแห่งนี้เขามีอะไรเด็ดทำไมผู้คนถึงนิยมไปกันนักนะ วัดคิโยมิสึเดระ หรือที่เรียกกันว่าวัดนำ้ใส เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งเมืองเกียวโต เป็นวัดพุทธศาสนาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,200 ปี ตั้งอยู่บนเขาโอโตวะ ทางตะวันออกของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นในยุคเฮอังเกียวตอนต้นหรือสร้างขึ้นมาก่อนที่เกียวโตจะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 778 โดยตระกูลโตกุกาว่า วัดแห่งนี้สร้างด้วยไม้เกือบทั้งหมด และตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อาคารต่างๆ ของวัดได้รับความเสียหายจากเหตุไฟไหม้หลายครั้ง และในปัจจุบันส่วนใหญ่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ปี 1631-1633 นั้นเอง ทางส่วนของประตูนิโอะมอน เป็นซุ้มประตูทางเข้าหลักของวัดน้ำใส ที่เคยถูกไฟไหม้ไปในช่วงสมัยสงครามในศตววรรษที่ 14 และได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งประตูได้ถูกรื้อออกและมีการตกแต่งใหม่สวยงามมากขึ้น ลักษณะโครงสร้างของประตูมีโครงสร้าง 2 ชั้น ขนาด 5×10 เมตร และมีความสูงประมาณ 14 เมตร หากเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วก็จะพบกับ เจดีย์สีแดง หรือเรียกว่า เจดีย์ซันจุโนโตะ เป็นเจดีย์ 3 ชั้นขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในวัด เป็นหนึ่งในเจดีย์ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงถึง 31 เมตร โครงสร้างในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1633 โดยมีกระเบื้องโอะนิงะวะระ เป็นกระเบื้องรูปยักษ์ที่ประดับหลังคาอยู่บนมุมทั้งสี่ของหลังคา หากสังเกตจะเห็นว่ามีกระเบื้องรูปมังกรหนึ่งตัว ที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ โดยกระเบื้องมังกรนี้ได้มีความเชื่อว่าเป็นเทพเจ้ามังกรที่ช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้าย และอันตรายจากอัคคีภัยอีกด้วย ภายในมี ศาลาซุยกุโด สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1718 ซึ่งในศาลามีภาพที่สำคัญเป็นภาพของพระโพธิสัตว์ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Daizuigu ที่คอยรับฟังความปรารถนาและแรงบันดาลใจของทุกคน   ภายในวัดแห่งนี้ยังมีจุดสำคัญและไฮไลท์อื่นอีกมากมาย เช่นนำ้ตกโอโตวะ ชื่อวัดคิโยมิซูเดระ แปลว่า น้ำใส ก็คือมาจากน้ำตกโอโตวะ โอโตวะ ก็คือมีสายน้ำทั้ง 3 สายไหลลงมายังบ่อน้ำ ซึ่งจะอยู่ด้านล่างของศาลาวัด ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าหากใครที่ดื่มน้ำจากที่วัดแห่งนี้จะสมปรารถนาในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้นั้นเอง สายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการเรียน และการศึกษา สายที่ 2 จะสมหวังในเรื่องของความรัก สายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรงทำให้มีอายุที่ยืนยาว   นอกจากดื่มน้ำขอพรกันแล้ว ยังร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนม และร้านเครื่องดื่มมากมายเลย ค่าเข้าชมวัด ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน เปิดทุกวันเวลา 06:00 – 18:00 บางช่วงจะมีเปิดรอบกลางคืน ตั้งแต่เวลา 18:00 – 21:30 วิธีการเดินทาง สถานีใกล้เคียง คือ Kiyomizu-Gojo (รถไฟสาย Keihan Main Line) ใช้เวลาเดินประมาณ 25 นาทีจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Tofukuji แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo

วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง ( KInkakuji )

วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง ( KInkakuji )

2

  วัดคินคะคุจิหรือวัดทองเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น ไฮไลท์เด่นของสถานที่แห่งนี้คือเรือนไม้สีทองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมนำ้ ให้ความสวยสง่างาม สวยกดสะดุดตามาก เห็นสวยงามขนาดนี้รู้ไหมค่ะว่าวัดแห่งนี้เคยถูกเผาทำลายมาแล้ว ในช่วงสงครามโอนิน (Onin ) ในปี ค.ศ. 1950 นานมาแล้ว ที่เห็นสีทองเหลืองอร่ามงามตาขนาดนี้เพราะถูกก่อสร้างบูรณะวัดขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1955 ฉะนั้นเมื่อมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น อีกจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวที่เคยไปสัมผัสพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าสวยมาก ก็คือเงาสะท้อนของตัวเรือนสีทอง เมื่อเงากระทบกับผิวนำ้ ภาพที่เห็นนั้นสวยจนใครๆต้องไปดูเองกับตา ดั่งคำว่าสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็นนั้นเอง ภายในตัวเรือนถูกสร้างให้ออกมาเป็นสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ทำจากไม้แทบจะทั้งหมด ด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามล้ำค่านี่เองจึงทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรกดโลกในปี ค.ศ. 1994 วัดคินคะคุจิหรือวัดทองนี้ ในแต่ละฤดูสถานที่แห่งนี้จะให้ความสวยที่แตกต่างกันออกไป   ในฤดูใบไม้ผลิ ก็คงต้องมีดอกซากุระ ออกดอกเบ่งบานเต็ม เรียงรายรอบๆตัวเรือนสีทองหลังนี้ ให้บรรยากาศดอกซากุระสีสวยอมชมพูดูสดใส ถ้าฤดูหนาว หิมะก็จะตกโปรยปรายสวยมีเสน่ห์เหมือนต้องมนต์ หลุดลอยเข้าไปในซีรีส์ก็ว่าได้ ส่วนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ท่ามกลางวัดทองแห่งนี้เรียงรายเต็มไปด้วยใบไม้สลับสี ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีส้ม สีแดง สีเหลือง ให้บรรยากาศญี่ปุ่นย้อนยุคสวยครบจริงๆ เพราะความสวยตราตรึงขนาดนี้เลยดึงดูดนักท่องไปสัมผัสเป็นอย่างมาก การเข้าชม มีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นประถมศึกษา จะอยู่ที่ 300 เยน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  9:00-17:00 ค่ะ  การเดินทางเฉพาะรถบัส: เดิน 3 นาที จากป้ายรถบัส Kinkakuji-mae bus stop [รถบัสสาย 12, 59]เดิน 5-10 นาทีจากป้ายรถบัส Kinkakuji-michi [รถบัสสาย 101, 205]

ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่น

ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่น

2

  เมื่อพูดถึงฝนแล้ว แอดก็ไม่ได้ชอบฤดูนี้เท่าไร เพราะรู้สึกเฉอะแฉะและท้องฟ้าก็ไม่สดใส เมื่อเทียบกับฤดูอื่นในประเทศญี่ปุ่นแล้ว การแต่งตัวในฤดูฝนก็นับว่ายากมาก เพราะอากาศไม่ได้เย็นขนาดจะใส่เสื้อผ้าหนาๆ และก็ไม่ร้อนขนาดจะใส่เสื้อผ้าที่บาง บางครั้งในตอนเช้าอากาศดี แต่พอตกบ่ายก็ฝนตกหนักและก็อากาศเย็นขึ้น จะนัดหมายกับใครก็ลำบากเพราะฝนอาจจะตกหนักถึง 90% ทำให้ลำบากมากค่ะ แต่อย่างไรความมีเสน่ห์ของหน้าฝนก็มีนะคะ รู้ไหมว่าญี่ปุ่นก็มีฤดูฝนเหมือนกัน คือ ช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ฝนจะตกแตกต่างเล็กน้อยแต่ละพื้นที่ ช่วงที่มีฝนตกเยอะในญี่ปุ่น ถ้ามาเที่ยวช่วงนี้จะไปไหนดี มีอะไรเด็ดๆ ไหม หรือแต่งตัวอย่างไรไปดูกัน ฤดูฝน ที่ญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า สึยุ ที่จริงแล้วจะไม่นับเป็นฤดูของประเทศญี่ปุ่นที่มี 4 ฤดูคือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แต่จะใช้เรียกช่วงที่มีฝนตกบ่อยเป็นพิเศษคือช่วง ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศที่สามารถพบได้ทั้งในญี่ปุ่น จีนตอนใต้ เกาหลี ที่จะมีฝนตกมาก แต่ถึงอย่างไรใครที่จะมาเที่ยวในช่วงฤดูฝน ก็มีข้อดีอยู่บ้างเช่น ที่พักถูกลง ค่าตั๋วเครื่องบินก็ถูกลง เช่นกัน และสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวหน้าฝนได้ก็ยังมีอีกเยอะแยะมากมายมากมาย ในช่วงฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่นจะมี อุณหภูมิสูงสุดของเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส ต่ำสุดที่ 19 องศาเซลเซียส ในวันที่อากาศแจ่มใสอาจรู้สึกร้อนนิดหน่อย และวันที่มีฝนจะทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยได้ ในช่วงฤดูฝนนั้นฝนอาจตกเรื่อยๆ ต่อเนื่องกันทั้งวัน อากาศจึงมีความชื้นสูง ตอนกลางวันเราสามารถใส่เสื้อแขนสั้นได้สบายๆ แต่แนะนำให้เตรียมแจ็คเก็ตบางๆ หรือคาร์ดิแกนสักตัวเอาไว้สำหรับตอนฝนตกหรือเวลากลางคืนที่อากาศจะเย็นลง และอย่าลืมที่จะพกร่มซักคัน ไว้ยามฉุกเฉิน เพราะสภาพอากาศช่วงนี้ไม่แน่นอน จากอากาศแจ่มใส แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมาฝนอาจตกอย่างรุนแรงก็ได้ สถานที่ควรนัดหมายควรนัดกันตามคาเฟ่ หรือร้านอาหารก็จะดีมาก งดนัดบริเวณกลางแจ้ง เพื่อให้การนัดครั้งนั้นผ่านไปด้วยดี ช่วงฤดูฝนชาวญี่ปุ่นจะคึกคักและเที่ยวห้างสรรพสินค้ามากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าตามร้านคาเฟ่เองก็เช่นกัน และไม่ว่าฤดูไหนก็ล้วนมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่เราคิดการนั่งในคาเฟ่ กินเค้กชากาแฟในยามฝนตกก็ให้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ หรือจะกินปิ้งย่างร้อนๆ ก็เข้ากับบรรยากาศหน้าฝนได้ดี สรุปง่ายๆ ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถเที่ยวได้เหมือนฤดูอื่นๆค่ะ

รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่น

รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่น

3

 ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ก็ควรรู้จักวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นไว้สักหน่อย จะได้กลมกลืนและไม่ขายหน้าเรานั่นเอง ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยที่มักจะหาโอกาสไปท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น เราควรเรียนรู้วัฒนธรรมที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้เราเที่ยวได้อย่างสนุกเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรผิดให้ต้องอายได้ เช่น 1  การคุยโทรศัพท์  จริงๆแล้ววัฒนธรรมญี่ปุ่น ห้ามคุยโทรศัพท์ในร้านร้านอาหาร หรือบนรถไฟรถเมล์ หรือถ้าหากจำเป็นจริงๆให้พูดสั้นๆ และรีบวางสาย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนรอบข้าง หากนั่งรถไฟ อาจไปคุยที่ตรงข้อต่อขบวนหรือจุดที่จัดไว้ อย่าลืมปิดเสียงไลน์หรือเสียงเตือนข้อความ ถ้าเล่นเกมในโทรศัพท์ก็ควรใส่หูฟังด้วยนะคะ2  ตรงต่อเวลา  วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวลามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง รถไฟ รถบัส ก็จะมาถึงตรงเวลาเป๊ะๆ เพื่อนๆ สามารถจัดการเวลาในการเดินทางได้สบายใจ หรือถ้ามีนัดกับชาวญี่ปุ่นล่ะก็ อย่าเลทเป็นอันขาดนะคะ เพราะจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทและไม่ให้เกียรติค่ะ3  ขึ้นบันไดเลื่อน  การขึ้นลงบันไดเลื่อนตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะยืนชิดซ้ายหรือชิดขวาไปแล้วแต่ธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละท้องถิ่นค่ะ และจะไม่ยืนอยู่ตรงกลางบันไดนะคะ เพราะถือเป็นการเกะกะผู้อื่น ที่เร่งรีบ ดังนั้นถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วต้องใช้บันไดเลื่อน อย่าลืมสังเกตคนด้านหน้าว่ายืนกันฝั่งซ้ายหรือขวา และหลีกเลี่ยงไม่ยืนขวางทางหรือตรงกลางของบันไดเลื่อน4  เก็บหรือจับดอกซากุระ  วัฒนธรรมญี่ปุ่นสุดคลาสสิกเมื่อนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมซากุระ คือ “ห้ามแตะต้องต้นซากุระ” เด็ดขาดนะคะ ข้อนี้ถือเป็นกฎสำคัญที่ซีเรียสเลยค่ะ เพราะการที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างจับ หรือเด็ดดอกซากุระนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ต้นซากุระบอบช้ำ และเฉาตายได้5  ส่งเสียงความอร่อย  เราส่งเสียงดังได้ในขณะรับประทานอาหารค่ะ ถือเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยทีเดียวที่ถือว่าการกินเสียงดัง หมายถึง อาหารนั้นอร่อยค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเพื่อน ๆ ซดน้ำซุปเสียงดัง ๆ พนักงานในร้านยิ่งปลื้มปริ่มว่านั่นคือการส่งเสียงความอร่อยให้ร้านได้ยินนั่นเอง6  การใช้ตะเกียบ  ห้ามปักตะเกียบลงในแนวดิ่งไปในถ้วยข้าวนะคะ เพราะจะคล้ายกับการปักธูปไหว้ศพ และห้ามส่งอาหารจากตะเกียบสู่ตะเกียบ เพราะว่าคนญี่ปุ่นจะใช้ตะเกียบคีบกระดูกที่เผา แล้วส่งต่อๆ กันตอนทำพิธีเก็บกระดูกเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการจะตักอาหารให้กัน ก็ควรคีบแล้ววางไว้ในจานของเพื่อนไปเลยค่ะ7  รอยสักกับการแช่ออนเซ็น  หากใครมีรอยสักแล้วจะเข้าไปอาบน้ำพุร้อนออนเซ็น อย่าลืมเช็คดีๆ นะคะว่าออนเซ็นแห่งนั้น เขาห้ามคนมีรอยสักเข้าใช้หรือเปล่า เพราะที่ญี่ปุ่นมีออนเซ็นหลายแห่งไม่อนุญาตให้คนมีรอยสักใช้บ่อน้ำพุร้อนนะคะ 8  แอบถ่ายรูปผู้อื่น  คำเตือนสำหรับหนุ่ม ๆ ห้ามแอบถ่ายรูปสาว ๆ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะแบบเข้าประชิดตัวเกินไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมญี่ปุ่นทั่วไปแต่ทางญี่ปุ่นมีกฎหมาย พรบ.สิทธิส่วนบุคคล ห้ามแอบถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะ แต่หากจะถ่ายแบบวิวกว้าง ๆ แล้วมีสาว ๆ ติดอยู่ในภาพวิวนั้นโดยไม่ได้เจาะจง ก็ถือว่าทำได้ไม่มีปัญหาค่ะ9  เข้าคนแรก ปิด-เปิด ลิฟต์  เวลาโดยสารลิฟต์ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้ามาในลิฟต์ และกดให้คนอื่น ๆ ออกจากลิฟต์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน เรื่องนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวนะคะ แต่ให้นึกไว้เสมอว่าหากคุณเป็นคนแรกที่เข้าลิฟต์ที่ญี่ปุ่นล่ะก็ คุณคือคนที่ต้องกดปิด-เปิดประตูลิฟต์ให้คนอื่นตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ10  ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องให้ทิป  เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มเติมนะคะ เป็นอีกเรื่องที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ ชาติทำเป็นปกติ แต่ไม่ใช่กับชาวญี่ปุ่นค่ะ เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะถือเรื่องการบริการที่ทำด้วยใจ ดังนั้นพนักงานในญี่ปุ่นจะไม่รับทิปนะคะ หรือถ้าคุณวางเงินไว้บนโต๊ะ พนักงานก็อาจจะวิ่งตามนำเงินมาคืนคุณอีกด้วยค่ะ   และนี่ก็เป็นเพียง บางสิ่งในพฤติกรรมที่ไม่ควรปฏิบัติ ในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเราจะได้เคารพวัฒนธรรมของเขาด้วย นะคะ