เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

ธรรมชาติน่าเที่ยว แห่งเขาซึรุมิเมืองเบปปุ ญี่ปุ่น

ธรรมชาติน่าเที่ยว แห่งเขาซึรุมิเมืองเบปปุ ญี่ปุ่น

3

  วันนี้จะมาแนะนำอีกหนึ่งสถานที่ ที่ควรไปเช็คอิน ชมวิวธรรมชาติกันค่ะ สถานที่สวยๆธรรมชาติอากาศดีแบบนี้ต้องให้ยอดเขาซึรุมิแน่นอน ยอดเขาซึรุมินั้น ตั้งอยู่ในเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะคิวชูค่ะ เมืองเบปปุ เป็นเมืองที่โด่งดังมากๆ ในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อนค่ะ เพราะเป็นเมืองที่มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นนิยมแช่นำ้พุร้อนธรรมชาติกันมากเลยทีเดียว วัฒนธรรมแช่น้ำร้อนของคนญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลาย ช่วยให้หายเหนื่อยล้า สบายตัว ดีต่อสุขภาพ ต่อจากการแช่นำ้พุร้อนแล้ว มาขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปท่องเที่ยวบนยอดเขาซึรุมิกันต่อค่ะ  โดยจะมีจุดขึ้นกระเช้าไฟฟ้าให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวธรรมชาติจากความสูง สามารถชมความงดงามของเขาซึรุมิได้ทั้งหมดสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว โดยกระเช้านั้นจะค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆไปสู่ยอดเขา ช่วงกระเช้ากำลังขึ้นสู่ยอดเขาเราก็จะเห็นวิวจากภูเขาลูกอื่นๆด้วย แล้วยังมีอ่าวเบปปุที่สวยงามกว้างขวาง และวิวจากต้นไม้เขียวชะอุ้ม เมื่อเราถึงยอดเขาแล้ว เราก็จะเจอกับศาลเจ้าค่ะ รอบๆศาลเจ้ามีวิวจุดเด่นที่ทุกคนที่ไปจะเก็บภาพวิวแถวนั้นกัน เพราะสวยและมองไปได้ไกลมาก โดยวิวรอบๆก็จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูที่ไปด้วยนะคะ ยอดเขาซึรุมิถือว่าเป็นยอดเขาที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเบปปุมากที่สุดค่ะ ในช่วงหน้าหนาว ยอดเขาซึรุมิเป็นจุดแรกที่หิมะจะตกลงมาค่ะ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากชาวเมืองเบปปุอยากเล่นหิมะ ก็มักจะพาลูกๆ หลานๆ มาเล่นหิมะกันที่นี่ เป็นที่แรกค่ะ ได้บรรยายหิมะแรก พร้อมท่องวิวสวยๆ เหมาะกับการพาครอบครัวมาพักผ่อน หย่อนใจ ชมธรรมชาติ ได้สร้างกิจกรรมภายในครอบครัวไปในตัวอีกด้วย โดยการขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขาซึรุมินี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสูง 1,375 เมตร จากยอดเขามีทิวทัศน์มุมกว้างแบบพาโนราม่าที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแล้ว จึงสามารถพบดอกไม้และต้นไม้ต่างๆได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี สำหรับใครที่ยังไม่มีที่เที่ยวในใจ แอดขอแนะนำยอดเขาซึรุมิ ไว้เป็นอีกหนึ่งที่ ที่คุณมาแล้วจะต้องประทับใจแน่นอน และต้องกลับมาอีกแน่ๆ   ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 1,600 เยน ( รับเฉพาะเงินสดเท่านั้น ) ราคาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง กระเช้าออกทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาบนกระเช้าประมาณ 10 นาที  เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. นะคะ วิธีการเดินทาง จากตัวเมืองเบปปุ สามารถเดินทางมาได้โดยการนั่งรถบัสหรือขับรถมาค่ะ จากตัวเมืองเบปปุ หากเดินทางด้วยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพื่อมาถึงยังจุดขึ้นกระเช้าค่ะ  วิธีการเดินทางโดยการนั่งรถบัส Kamenoi Bus จากหน้าสถานี JR Beppu Station (ทางออกฝั่งตะวันตก) โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที

เที่ยวประเทศญี่ปุ่นเตรียมเสื้อผ้ายังไงดี มีกี่ฤดูกาล

เที่ยวประเทศญี่ปุ่นเตรียมเสื้อผ้ายังไงดี มีกี่ฤดูกาล

4

  วันนี้แอดจะมาบอกถึงฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ว่าประเทศญี่ปุ่นเค้ามีกี่ฤดูกาล และแต่ละฤดูกาลแตกต่างกันยังไง การจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสิ่งที่ต้องควรรู้คือฤดูกาลและเดือนเวลาของฤดูกาลนั้นว่าฤดูกาลไหนเพื่อที่เราจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้ถูกกับฤดูกาลบ้านเขาด้วย การใส่เสื้อผ้าให้ถูกกับฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่นนั้นสำคัญมาก หากใส่ผิดอย่างเช่นหน้าร้อน แต่ใส่แขนยาวชุดขน ก็คงจะไม่เหมาะใช่ไหมล่ะ ใช่ว่าต่างประเทศจะมีแต่หิมะและหนาวซะเมื่อไร ถ้าไม่ศึกษาและเตรียมตัว จะเปลี่ยนปัญหาในภายหลังเมื่อไปเที่ยว แถมยังลำบากในการใช้ชีวิต บางคนอาจจะไปซื้อเอาที่นู้นก็ได้ จะได้ไม่ต้องหิ้วอะไรไปเยอะแยะมากมาย แต่คงไม่มีใครจะไปซื้อที่นู้นได้หมดทุกอย่างหรอกเนาะเพราะมันเสียเวลาหาซื้อ แต่สำหรับคนที่เตรียมไป แต่ถ้าเตรียมไปผิด นอกจากจะได้เสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ ยังต้องหนักหิ้วกระเป๋าสัมภาระที่มีน้ำหนักมากขึ้น เผลอๆอาจจะต้องเสียค่าโหลดกระเป๋ากลับเพิ่ม ยิ่งทำให้เสียเงินหลายต่อเข้าไปอีก มานี่เลย วันนี้แอดจะบอกถึงช่วงเดือนและฤดูกาลให้ฟัง จะได้พร้อมไปเที่ยวอย่างสบายใจ ประเทศญี่ปุ่นนับว่ามีทั้งหมด 4 ฤดูกาลด้วยกัน คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิ   ในช่วงฤดูหนาว  คือ เดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม จะเป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นมีอากาศที่หนาวที่สุด ในช่วงนี้อุณหภูมิอาจติดลบ -6° - 20°C ควรเตรียมเสื้อแขนยาวที่หนา หรือเสื้อขนกันหนาวสำหรับใส่ต่างประเทศให้พร้อมเพื่อการอบอุ่นแก่ร่างกาย และรองเท้าสำหรับเดินบนหิมะ เพราะอาจจะมีหิมะตก และได้ไปเที่ยวสถานที่ที่มีหิมะ ฤดูหนาวเป็นไฮไลท์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทยเราชอบหน้าหนาวมาก เพราะอยากเห็นหิมะตกนั่นเอง    ในช่วงฤดูร้อน  คือ เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นมีความร้อนอยู่ที่อุณหภูมิ 16° - 30°C เสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่ควรหนาเกินไป สามารถใส่สายเดียว เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้นและกระโปรงสั้นได้ตามสบาย เป็นฤดูกาลที่เที่ยวสบายๆ ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ไม่สู้อากาศหนาวมากนัก  ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  คือ เดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ที่ 2° - 24°C เสื้อผ้าที่ควรใส่  ควรจะใส่เสื้อผ้าที่มีแขนยาวแต่บางไม่ต้องหนาจนเกินไป แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ เพราะสภาพอากาศบางวันอาจไม่เหมือนกัน ฤดูกาลนี้ยังเป็นฤดูกาลยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวมาก  ในฤดูใบไม้ร่วง  คือ เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ที่ 7° - 27°C อากาศช่วงนี้ถือว่าหนาวพอสมควร สำหรับคนไทยเรา แต่เป็นหนาวที่เดินสบายๆ เหมาะกับการชมวิวทิวทัศน์จากดอกซากุระเบ่งบานทั่วเมือง เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมมามากที่สุด เสื้อผ้าที่ควรสวมใส่ ต้องสามารถกันหนาวกันลมได้เป็นอย่างดี   เห็นไหมล่ะว่าถ้าเรารู้จักฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ว่าแต่ละช่วงเดือน มีอุณหภูมิที่เท่าไหร่กันบ้าง ก็ง่ายต่อการจัดกระเป๋าพร้อมเตรียมตัวออกเดินทาง ไปเที่ยวกันอย่างสบายใจ และเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้อย่างถูกต้อง เช่นถุงมือหมวก รองเท้า หรือสิ่งของอย่างอื่นก็ง่ายขึ้น ขอให้ทุกคนท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุขนะคะ

เที่ยวโตเกียว ฤดูไหนดี?

เที่ยวโตเกียว ฤดูไหนดี?

3

  ไปโตเกียวเราจะไปฤดูไหนดีนะ ถึงจะเที่ยวสนุกจริงๆโตเกียวเป็นเมืองที่สามารถไปเที่ยวได้ตลอดปีเลยนะคะ แต่ฤดูที่คนนิยมไปกันที่สุด ก็จะเป็น ฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่ ดอกซากุระ จะบานสวยเต็มในเมืองมองไปทางไหนก็สวยอมชมพู ฤดูกาลซากุระที่โตเกียวนั้นเป็นการสัมผัสประสบการณ์ที่ราวกับความฝันจริงๆ ซากุระหลายพันต้นต่างก็เริ่มบานโดยพร้อมเพรียงกัน ปกคลุมท้องถนนไปด้วยโทนสีชมพูสวยงาม ผู้คนทั่วประเทศที่หลงใหลในซากุระต่างมารวมตัวกันที่สวนสาธารณะเพื่อชมดอกไม้บ้าง ออกมาปิกนิกเพื่อถ่ายรูปบ้าง ตามร้านค้าก็จะมีการนำเอาสินค้าต่างๆ เช่น กล่องข้าวซากุระที่ทำเป็นธีมดอกซากุระ, เครื่องดื่มรสซากุระสีชมพู ฯลฯ ออกมาจำหน่าย บรรยากาศที่สดใสท่วมท้นเมืองราวกับจะปัดเป่าฤดูหนาวออกไป  และช่วง ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ระหว่างปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ใบไม้จะพร้อมใจกันเป็นสีส้มสวยงามมากๆเลยค่ะ เช่น สวนริคุงิเอน สวนขนาดใหญ่ในบรรยากาศร่มรื่นทั้งต้นไม้ใบหญ้าและสระน้ำกลางสวน ภายในสวนมีต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่นและแปะก๊วยปลูกอยู่กว่า 400 ต้น พอถึงช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งสวนก็จะเต็มไปด้วยสีเหลืองแดงสลับกันไป ดูรวมๆ แล้วสวยงามมาก แถมตอนกลางคืนยังมีการประดับไฟให้บรรยากาศที่แตกต่างจากตอนกลางวัน ดูสวยงามไปอีกแบบ  ฮิตสุดก็คงจะเป็นช่วงฤดูหนาว คือ เดือนธันวาคม มกราคมและกุมภาพันธ์ อุณหภูมิอยู่ที่ 2-10 องศาเซลเซียล หิมะจะตกในบริเวณภาคเหนือของญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาเพื่อทำกิจกรรม เช่น เล่นสกีหิมะ เล่นสโนบอร์ด หรือมาเที่ยวเทศกาลหิมะ  ฤดูฝน พูดถึงฝนก็จะลำบากหน่อยนะคะ เพราะฝนที่โตเกียวจะตกทั้งวัน ตกแบบข้ามคืนข้ามวัน เดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมโตเกียวจะเข้าสู่ฤดูฝน เป็นช่วงที่มีฝนและความชื้นในรอบ 1 ปี เป็นลักษณะฝนตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่องมากกว่าตกแบบมรสุม แอดว่าทุกคนน่าจะได้คำตอบแล้วนะคะว่าแล้วจะไปเที่ยวฤดูไหนดี ส่วนแอดขอเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้วกันนะคะ เพราะแอดชอบดอกซากุระมากๆ อยากได้บรรยากาศแบบนางเอกซีรีส์อะนะ อิอิ

เที่ยว ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ

เที่ยว ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ

6

  รู้หรือไหมว่าฮอกไกโด เกาะทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุด นั้นก็คือทุ่งลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ เป็นฟาร์มที่ตั้งอยู่ในเมืองนากะฟุราโนะ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ฟาร์มแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1903 ก่อนที่ในปี 1958 จะได้มีการเริ่มปลูกต้นลาเวนเดอร์เพื่อใช้ทำน้ำมันหอมระเหย โดยมีพื้นที่กว้างกว้างสุดประมาณ 1,400 ไร่ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แวะเวียนมาเยี่ยมชมดอกลาเวนเดอร์สีม่วงนี้มากมาย และตั้งแต่นั้นมาก็ได้เริ่มพัฒนาฟาร์มให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โทมิตะฟาร์มยังมีสวนดอกไม้นานาพรรณอีกมากมาย ไฮไลท์ของทุ่งแห่งนี้ต้องยกให้ ทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วง ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สวยงามราวกับความฝัน ในช่วงต้นเดือน-กลางเดือนกรกฎาคม เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดสวยงามมากค่า ฟาร์มโทมิตะนอกจากทุ่งดอกลาเวนเดอร์แล้ว ยังมีดอกไม้ 7 สีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดอกไม้ 7 สีได้แก่ สีขาว สีม่วง สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีชมพู และสีเขียว ทอดยาวคล้ายกับสายรุ้ง เรียกว่าทุ่งอิโรโดริ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเยี่ยมชมทุ่งอิโรโดริแนะนำช่วง เดือนกรกฎาคมค่ะ นอกจากสวนดอกไม้แล้วยังมี แกลลอรี่ เฟลอร์ เป็นพื้นที่จัดแสดงภาพถ่ายของดอกไม้สี่ฤดู สามารถเข้าชมได้ภายในฟาร์ม โดยภายในจะเป็นพื้นที่โล่งกว้างมีภาพถ่ายจากสวนดอกไม้ ติดผนังเรียงรายไว้เยอะแยะมากมาย ให้นักท่องเที่ยวชมกันอย่างเพลิดเพลิน แถมเข้าชมฟรีตลอดทั้งปีไม่มีค่าใช้จ่าย   และไฮไลท์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาด มาถึงแล้วต้องมาลองชิม ซอฟท์ครีม ไอศกรีมลาเวนเดอร์ ที่ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์ มีกลิ่นหอมดอกลาเวนเดอร์รสชาติเข้มข้น นอกจากไอศกรีมแล้วยังมีขนมปังอีกมากมายให้ชิมต้องไปลองนะคะ ภายในฟาร์มยังมีสินค้าอีกมาย จัดเป็นร้านขายสินค้าของฝาก ที่ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น สบู่ น้ำมันหอมระเหย ดอกไม้อบแห้ง นำ้หอม อาหาร สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากได้เลย   วิธีการเดินไปยังฟาร์มโทมิตะคุณสามารถนั่งรถไฟ รถบัส หรือขับรถยนต์จากอาซาฮิคะวะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อไปเยือนฟาร์มโทมิตะ การขับรถยนต์คือวิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการมุ่งหน้าสู่ฟาร์มโทมิตะ  เข้าชมฟรี เปิดตลอด 24 ชั่วโมง  ร้านค้าภายในฟาร์มเปิด 8:30 - 17:30 เที่ยวช่วงไหนดีจะได้ชมสวนเอกไม้อย่างเต็ม ก็น่าจะมีคราวๆเช่น  ช่วงเดือนมิถุนายน  จะมีสวน Spring Field จะมีดอกไม้บานสะพรั่ง เช่น ดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์ ดอกป๊อปปี้ตะวันออก และไม้ยืนต้นอื่นๆ  ช่วงเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์กลังบานสะพรั่งเต็มที่เลยค่ะ ช่วงเดือนต้นเดือนสิงหาคม จะเป็นทุ่งดอกป๊อปปี้สีขาว สีแดง สีชมพูและดอกไม้หลากหลายสีสันที่กระจายอยู่ภายในสวน ซึ่งดอกไม้จะเบ่งบานที่สุดในช่วงนี้เลยค่ะช่วงเดือนกันยายนจะเป็นทุ่งดอกทานตะวัน ดอกซัลเวีย และดอกคอสมอสค่ะ ประมาณนี้ หรือทางฟาร์มอาจจะปลูกดอกไม้ใหม่ให้ได้ชมกันอีกมาย สรุปได้ว่าต้องอย่าพลาด ต้องไปให้ได้นะคะ

ทำความรู้จักเงินเยนญี่ปุ่น

ทำความรู้จักเงินเยนญี่ปุ่น

4

  วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นกันค่ะ เมื่อเราไปเที่ยว ญี่ปุ่นเวลาเราจะใช้จ่ายซื้อของอะไรก็ตามเราต้องเตรียมเงินเยนให้พร้อม ซึ่งเงินเยนสามารถหาแลกได้ตามธนาคาร ธนาคารที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราสามารถเข้าไปแลกเงินเยนได้ง่าย ๆ เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะมีสาขาอยู่มากมายและหาได้ง่าย สำหรับธนาคารที่รับแลกเงินตราต่างประเทศได้แก่ ธนาคารมิซูโฮ(Mizuho) ธนาคารมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ(Mitsubishi UFJ) และธนาคารมิตซุย สุมิโตโม(SMBC) ข้อดีของธนาคาร  สามารถแลกเงินสด และถอนเงินสดผ่านบัตรระหว่างประเทศที่มีสัญลักษณ์ของ Visa, MasterCard, Maestro หรือ Cirrus ได้ ข้อเสียของธนาคารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราค่อนข้างแพง และอาจไม่ได้มีให้บริการทุกสาขา ส่วนใหญ่จะมีให้แลกที่สาขาที่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยว เช่น สาขาอาซากุสะ   หรือถ้าคำนวณให้ดี ว่าการที่เราจะไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นนั้นเราจะใช้งบประมาณเท่าไหร่สามารถแลกได้ที่สนามบินดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิก็ได้จะได้ไม่เสียอัตราการแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างสูงแลกไปเลยจะดีกว่า แลกตามงบที่เราจัดตั้งไว้ อย่างที่รู้ๆ กันว่าสกุลเงินของญี่ปุ่นคือ เยน (Yen) ในญี่ปุ่นจะใช้สัญลักษณ์ ¥ หรือตัวคันจิ 円 (ออกเสียงว่า เอ็น) ส่วนตัวย่อที่นิยมใช้คือ JPY (Japanese Yen) ธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้จะเเบ่งออกเป็น 10,000 เยน 5,000 เยน 2,000 เยน และ 1,000 เยน เหรียญที่ใช้มีเหรียญ 500 เยน 100 เยน 50 เยน 10 เยน 5 เยน และ 1 เยน   ถ้าเงินบาทไทยแลกเป็นเงินญี่ปุ่นก็จะ 1 บาท เท่ากับ 4.20 เยน ประมาณนี้ อีกทั้งเงินเยนยังมีช่วงแพงช่วงถูกซึ่งก็คาดเดาไม่ได้ สถานการณ์เป็นไปตามตลาดโลก เพราะเหตุนี้จึงทำให้มีนักลงทุนจากทั่วโลก แลกเงินเยนสะสมไว้เก็งกินกำไร ถือว่าเป็นธุรกิจอีกหนึ่งรูปแบบ หากใครสนใจให้แนะนำว่าควรศึกษาให้ดี เพราะว่าหากถ้าคาดเดาผิด อาจจะแลกคืนไม่ได้หลายปี อาจจะต้องกายเป็นเงินนอนแช่แข็งอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าค่าเงินดีสามารถแลกคืนเอากำไรได้ ก็จะได้กำไรง่ายและดีมากเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเอาเงินแลกเงิน แถมได้กำไรอีกด้วย เป็นธุรกิจสำหรับคนมีเงินเท่านั้น แต่โปรดจำไว้ว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรควรศึกษาหาความรู้ให้รอบคอบก่อนลงมือทำจะได้เกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด แต่ในส่วนของการแลกเงินเยนไว้เก็งกินกำไรนั้น จะเป็นธุรกิจของคนมีเงินจริงๆ เพราะไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้เดือดร้อน ตอนถูกก็แลกเก็บ ตอนแพงก็เลือกคืน เท่านั้นเอง

ทำความรู้จัก ปราสาทฮิเมจิ

ทำความรู้จัก ปราสาทฮิเมจิ

5

  สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้แอดจะพามารู้จักกับปราสาทฮิเมจิ หรืออีกชื่อในนามปราสาทนกกระสาขาวนั้นเอง ปราสาทฮิเมจิ คือ ปราสาทที่ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่แห่งหนึ่งที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิงจากปี พ.ศ 2538 ยังถูกยกให้เป็นมรดกโลกและเป็นมรดกโลกชิ้นแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย ปราสาทฮิเมจิมีจุดเด่นอยู่ที่ความสวยงามใหญ่โต และยังมีหอปราการขนาดใหญ่ที่สุด ภายในตัวปราสาทมีเสาไม้ขนาดใหญ่ทั้งหมดเรียกได้ว่าใหญ่โตทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะประตูทางตัวปราสาท ทางเดินภายใน ปราสาทมีหลายชั้น ตัวปราสาทมีสีขาวเด่นสง่างาม ปราสาทฮิเมจิจะมีทางเดินที่ซับซ้อนตลอดทางเดิน ภายในมีต้นซากุระมากมายถึง 1000 ต้นยิ่งฤดูใบไม้ผลิความสวยงามของดอกซากุระจะมองเห็นเป็นสีชมพูเต็มทั่วปราสาท ตัดกับสีขาวของตัวปราสาทให้บรรยากาศสวยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในซีรี่ย์ เพราะความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์นี้จึงทำให้นักท่องเที่ยวหลงใหลเข้ามาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะนิยมไปกันตอนเย็น เพราะอากาศเย็นสบายบวกกับแสงของดวงอาทิตย์กำลังเริ่มตก แสงอาทิตย์สีส้มกระทบกับดอกซากุระสีชมพูและตัวประสาทสีขาว สวยสดงดงามตา ไม่ว่าใครที่ได้ไปต้องประทับใจถ่ายรูปเก็บภายสวยๆไว้อวดเพื่อนอย่างแน่นอน ถือว่าเป็นจุดเที่ยวที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ต้องแพลนไว้นะคะ  การเดินทางจากเมืองฮิเมจิไปประสาทฮิเมจิ เดินทางโดยรถบัสหลังจากถึงสถานี Sanyo Himeji Station เราสามารถเดินเท้าไปยังปราสาทฮิเมจิได้เลย โดยใช้เวลาราวๆ 20 นาที   เวลาปิด-เปิด เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 ประตูปิด 16.00 อัตราค่าเข้าชม ค่าเข้าชมภายในตัวปราสาทสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปราคาจะอยู่ที่ 1000 เยน ราคานักเรียนจะอยู่ที่ 300 เยน

ทำของหายที่ญี่ปุ่น ต้องทำยังไง

ทำของหายที่ญี่ปุ่น ต้องทำยังไง

4

  สวัสดีค่ะ ทุกคน ไปเที่ยวไกลถึงญี่ปุ่นใครจะไปอยากทำของหายกันล่ะเนาะ ไปญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากไปเที่ยวอย่างสบายใจ เพราะญี่ปุ่นเป็นเมืองที่มีเสน่ห์อันงดงาม เป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคนที่อยากมาเยือนประเทศแห่งนี้ เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่า มีสถานที่เที่ยวที่สวยที่สุด และวัฒนธรรมด้านอาหารที่อร่อยโด่งดังไปทั่วโลก รอคอยเราไปสัมผัสอีกตั้งมากมาย แต่กลับต้องมาวุ่นวายเสียเวลา เพราะทำของหาย ยิ่งถ้าของสิ่งนั้นมีความจำเป็นกับเรามากๆ เช่นเงินที่มากพอสมควรหรือพาสปอร์ต ก็ว้าวุ่นกันเลยทีเดียว  เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาให้เจอให้ได้ ไม่อย่างนั้นหมดสนุกอย่างแน่นอน แต่มันก็เผลอลืมหรือทำหายไปแล้วจริงๆจะทำยังไงได้ เราก็ต้องมาหาวิธีแก้ไขกันต่อไป สถานที่ยอดฮิตที่คนมักทำของหาย ร้านอาหาร รถไฟ รถบัส รถแท็กซี่ กว่าจะนึกขึ้นได้ก็อยู่อีกสถานที่แล้ว หรือรถโดยสารไปไกลแล้ว แถมสถานที่เมืองชุมชนต่างๆ มันสลับซับซ้อนมากทำใจเราว้าวุ่นเลยทีเดียว ซึ่งเราไม่คุ้นเคยเลยเพราะมันคือต่างประเทศ เราจะทำยังไงดี สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือใครได้บ้าง วันนี้แอดจะมาบอกวิธีตามหาของที่เราลืมหรือทำหาย กันอย่างผู้มีประสบการณ์ อย่างแรกเลยจงมีสติ สติสำคัญที่สุด คุณต้องตั้งสติไล่เรียงเหตุการณ์ให้ดี ว่าเราเอากระเป๋าหรือของสำคัญนั้นวางไว้ตรงไหน ลืมไว้บนรถแท็กซี่ไหม รถไฟไหม ให้ค่อยๆนึกตามไปทีละจุด ถ้ายังหาไม่เจอจริงๆ งั้นลองขอความช่วยเหลือจากผู้คน ที่อยู่ในร้านอาหาร หรือสถานที่เที่ยว ที่เราไปว่าเค้ามีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่อยู่ไหม เพื่อติดต่อสอบถาม และเราต้องบอกลักษณะถุงและกระเป๋าให้อย่างชัดเจนเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือต่อไป แต่ถ้ายังไม่มีใครเจอจริงๆนี่คือที่พึ่งสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจเลย แม้ญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยและซื่อสัตย์อย่างมาก แต่เวลาเกิดเหตุการณ์ของหาย ขอให้นึกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ก่อนเลย เมื่อคุณเข้าไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับของที่ทำหายไป เช่น หายที่ไหน เวลากี่โมง ยี่ห้อ ขนาด สี รวมถึงเบอร์โทรศัพท์และโรงแรมที่พัก เพื่อติดต่อกลับไปหากมีคนเจอของและเก็บมาส่ง แต่กรณีที่คุณไม่มีเบอร์โทรศัพท์ในญี่ปุ่น คุณสามารถจะกลับไปที่สถานีตำรวจในวันถัดไปหรือหลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ดังนั้น คุณต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนและครบถ้วน แน่ใจว่าตำรวจจะตามสิ่งของให้เราจนเจออย่างแน่นอน ไม่ว่าจะบนแท็กซี่หรือรถไฟต่างๆ ส่วนมากจะเจอนะ ถ้าไม่ถึงกับดวงซวยจริงๆพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก อย่างนั้นคงต้องทำใจ ถ้าเป็นของสำคัญอย่างพาสปอร์ต ก็สามารถปรึกษาตำรวจขอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป เพราะพาสปอร์ตสำคัญมากในการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น จำไว้นะคะว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เกินที่เราจะจัดการแก้ไขเองได้แล้ว ควรนึกถึงตำรวจเลยค่ะ เพราะเป็นการแก้ปัญหาและที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้วค่ะ และก็ไม่ต้องตกอกตกใจขวัญเสียกันไปนะคะ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ ขอเพียงแค่ทุกคนมีสติ แค่นี้เราก็จะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆได้อย่างราบรื่น ขอให้ทุกคนเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างมีความสุขนะคะ

ตลาดคุโรมง (kuromon market) ตลาดโอซาก้า

ตลาดคุโรมง (kuromon market) ตลาดโอซาก้า

4

  วันนี้แอดจะพามาตะลุยตลาดคุโรมง หาของกินอร่อยๆ แจกพิกัดตลาดดังที่คนไทยนิยมไปกันเป็นส่วนมาก นั้นคือ ตลาดคุโรมง (kuromon market) ที่คนไทยหลายคนเรียกว่า ตลาดปลาโอซาก้านั้นเอง เป็นตลาดที่มีของขายมากกว่าเรื่องของปลาๆ และอาหารทะเลอีกมากมาย เป็นแหล่งรวมวัตถุดิบชั้นเลิศจนได้รับฉายา ครัวของโอซาก้าเปรียบเสมือนห้องครัวหรือตู้เย็นที่มีวัตถุดิบทุกอย่างที่รวมกันอยู่ที่ตลาดแห่งนี้ นอกจากร้านขายอาหารทะเลสดแล้ว ยังมีร้านอาหารอร่อยให้น่าลิ้มลอง ตลาดแห่งนี้เป็นที่ยอดฮิตของชาวนักกินมากมาย นักชิมที่ชอบลองอาหารใหม่ๆ ที่นี้มีเมนูอาหารวัตถุดิบจากท้องทะเลมากมากกว่า 100+ รายการ มีร้านสตรีทฟู๊ด เยอะแยะเรียงรายเป็นแถวให้เลือกมากกว่า 100+ ร้านเช่นกัน  และร้านขายของทะเลสดมากกว่า 200+ ร้านเลยทีเดียว ตลาดคุโรมงแห่งนี้ ตั้งอยู่ในย่านมินามิ อนูใจกลางโอซาก้า ตลาดปลาโอซาก้าแห่งนี้ที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน เป็นตลาดเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ แห่งหนึ่ง สัญลักษณ์ที่ทำให้หลายๆ คนจำที่นี่ได้คือใต้หลังคาของตลาดจะมีสัตว์ทะเล อาทิ ปลาหมึก ปลา ปู อวดโฉม คอนเฟิร์มความเป็นตลาดปลาโอซาก้าได้เป็นอย่างดี นอกจากร้านสตรีฟู้ดที่แสนอร่อยจะเยอะแล้ว ราคาอาหารทะเลที่นี้ก็ดีงามจนพูดกันปากต่อปาก ถึงกับว่าถ้าบ้านไหนอยากกินอาหารทะเลหรือมีการเลี้ยงจัดสรร หรืออยากทำอาหารทะเลกินกันภายในครอบครัว ก็ต้องนึกถึงตลาดคุโรมงแห่งนี้เป็นที่แรกแน่นอน นอกจากเด่นในเรื่องอาหารทะเลแล้ว ที่นี้ยังมีร้านขายของกิน อาหารทะเลแห่ง หรือร้านขายของฝาก ไว้ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปฝากคนที่บ้านอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งช้อป แหล่งกินฟินๆ ของโอซาก้ากันเลยทีเดียว หากใครไปเที่ยวโอซาก้าแล้วอยากกินอาหารทะเลต้องห้ามพลาดที่ตลาดแห่งนี้เลยนะคะ  สำหรับการเดินทางมาที่ตลาดแห่งนี้นั้นมีความสะดวกสบายมากๆ มีสถานีรถไฟอยู่ใกล้ตลาดที่ใกล้ที่สุดคือ สถานี Nippombashi (รถไฟ Osaka Metro Sennichimae Line) โดยใช้ทางออก 10 เดินอีกเพียง 5 นาทีก็ถึงตลาดแล้ว

งานเทศกาลน่าเที่ยวของญี่ปุ่น

งานเทศกาลน่าเที่ยวของญี่ปุ่น

4

   ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่นักท่องเที่ยว ต่างหลงใหลไปชมความสวยงามตามสถานที่ และท่องเที่ยวตามเทศกาลต่างๆของทางญี่ปุ่นที่ได้จัดขึ้น และแต่ละเทศกาลก็มีจุดสำคัญและไฮไลท์แตกต่างกันไป ประเทศญี่ปุ่นนั้น ถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่จัดกิจกรรมและเทศกาลมากเป็นอันดับต้นๆ ในตลอดทั้งปี แทบจะไม่ว่างเว้น เราจึงสามารถไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นได้ตลอดไม่ว่าจะฤดูไหนๆ แต่คำว่าเทศกาลของชาวญี่ปุ่นนั้น คือ การเดินตามรอยเทศกาลโบราณที่มีมานาเป็นการสืบทอดต่อๆกันมา เช่น ( เทศกาลนูมาตะ ) ในช่วงนูมาตะอันมีสีสันที่จัดเป็นเวลา 3 วันนี้ ผู้หญิงหลายร้อยคนจะแบกศาลเจ้าเคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นไปทั่วเมือง ซึ่งศาลเจ้านี้เรียกว่า “ไดเท็งงุมิโคชิ” มีลักษณะเป็นหน้ากากเท็งงุ ภูตจมูกยาวผิวสีแดงก่ำ เท็งงุเป็นภูตทรงพลังที่คอยปกปักรักษาซึ่งเชื่อกันว่าช่วยขับไล่วิญญาณร้ายและนำพาโชคดีมาให้ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ขนาดเล็กที่เรียกว่ามิโคชิอีกประมาณ 30 ถึง 40 แท่นก็จะแห่ไปตามท้องถนนเช่นกัน มีการประโคมเสียงเพลงเฉลิมฉลองแบบดั้งเดิมไปทั่วเมือง ช่วยเพิ่มความครึกครื้นให้กับเทศกาล ทุกปีจะมีผู้คนมาที่นูมาตะราว 200,000 คนเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองนี้ และ ( เทศกาลโอจิมะ เนปุตะ ) ขบวนแห่ประดับไฟและตกแต่งอย่างประณีตงดงามซึ่งเรียกว่า เนปุตะ นี้จะเคลื่อนผ่านโอตะตลอดสองวันที่จัดงาน เทศกาลโอจิมะ เนปุตะ รถแห่รูปทรงคล้ายพัดกว่า 10 คัน ซึ่งบางคันสูงกว่า 7 เมตรนี้จะแห่ไปทั่วเมืองขณะที่มีการตีกลองและฝูงชนขับร้องบทเพลง กลองสไตล์ดั้งเดิมบางตัวมีความสูงกว่า 3 เมตร เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่ค่อนข้างใหม่ในกุนมะ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1986 กุนมะได้รับประเพณีนี้มาจากเมืองฮิโรซากิในจังหวัดอาโอโมริ ในครั้งที่เมืองฮิโรซากิสร้างความสัมพันธ์แบบเมืองพี่เมืองน้องกับเมืองโอจิมะ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโอตะ) ทุกปีจะมีผู้มาเยือนในพื้นที่ประมาณ 160,000 คนเพื่อชมขบวนแห่นี้  และ ( เทศกาลมาเอะบาชิ ฮัตสึอิจิ ) ตุ๊กตาดารุมะซึ่งเป็นที่นิยมทั่วประเทศญี่ปุ่นและเชื่อว่านำโชคมาให้นี้มีต้นกำเนิดที่กุนมะ ผู้คนจะขอพรจากตุ๊กตานี้เป็นประเพณีสืบต่อกันมา และจะนำมาเผาในช่วงปีใหม่เพื่อแสดงความขอบคุณต่อตุ๊กตาที่ช่วยนำพาโชคลาภมาให้ในปีที่ผ่าน เทศกาลมาเอะบาชิ ฮัตสึอิจิ มาอันแสนคึกคักที่มีมาตั้งแต่ราวทศวรรษ 1600 จะให้คุณได้เห็น ตุ๊กตาดารุมะ จำนวนหลายพันตัวถูกเผาในกองไฟ รวมถึงมีขบวนแห่พร้อมนักเต้นระบำและศาลเจ้าเคลื่อนที่ แผงขายอาหาร พืชพรรณ และเครื่องรางต่าง ๆ ด้วย   และ ( เทศกาลคิริว ยางิบุชิ ) ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้เข้าร่วม เทศกาลคิริว ยางิบุชิ จะเดินไปตามถนนเพื่อแสดงการเต้นรำประกอบจังหวะการตีกลอง งานในตอนเย็นเป็นงานที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดเมื่อมีการจุดโคมไฟบนแท่นสูงตระหง่านให้ความสว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน กิจกรรมน่าดึงดูดอื่น ๆ ได้แก่ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ที่เคลื่อนตัวไปตามถนนและขบวนแห่เครื่องแต่งกายสีสันสดใสแต่ละเทศกาลก็จะมีสีสันและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป นี่เป็นเพียงตัวอย่างเทศกาลดัง ที่แอดยกตัวอย่างมาให้ชมกันคร่าวๆ พอหอมปากหอมคอ จริงๆแล้วเทศกาลของญี่ปุ่นนั้นมีเยอะแยะมากมายไว้เดี๋ยวแอดจะมาลงอัพเดทเทศกาลต่างๆให้ชมใหม่ในครั้งหน้านะคะ