เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

รู้จักกับภาษาญี่ปุ่น ที่ต้องเจอบ่อยเมื่อไปญี่ปุ่น

รู้จักกับภาษาญี่ปุ่น ที่ต้องเจอบ่อยเมื่อไปญี่ปุ่น

10

  สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะมากระซิบบอก ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน รู้ไว้ไม่เสียหายแต่ยังแสดงถึงความใส่ใจละเอียดอ่อน การศึกษาวัฒนธรรม  การให้เกียรติประเทศญี่ปุ่นด้วย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยว ส่วนมากจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่บทสนทนาส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นเมื่อเจอต่างชาติจะทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน ถ้าอีกฝ่ายตอบเป็นภาษาอังกฤษเค้าก็จะพูดอังกฤษกลับมา แต่เมื่อเราเป็นต่างชาติเราก็อยากจะรู้ศัพท์ภาษาของเขาไว้บ้าง เวลาได้ยินจะได้เข้าใจและตอบกลับได้บ้าง ถึงเล็กน้อยก็ยังดี และเอาไว้ทักทายคนญี่ปุ่นโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย ก็จะได้ความจริงใจ ความน่ารักในสำเนียงภาษานั่นเอง การใช้ภาษาประจำประเทศ เป็นการผูกมิตรสัมพันธ์ที่ดีงาม ภาษาที่ต้องใช้บ่อยและเจอบ่อยๆ เมื่อเราไปญี่ปุ่นก็จะมีคำยอดฮิต อย่างเช่น ( ฮาจิเมมาชิเตะ แปลว่า ยินดีที่ได้รู้จัก ) เป็นศัพท์ยอดฮิตเมื่อชาวญี่ปุ่นพบเจอผู้อื่น วันนี้แอดก็จะมาแนะนำคำพูดที่จะได้ใช้เมื่อไปญี่ปุ่น ให้ทุกคนได้ท่องจำสัก 10 ประโยค10 ประโยคนี้จะเป็นคำศัพท์ที่ทุกคนจะต้องได้เจอแน่ๆ มีคำไหนไปดูกันเลย  โอฮาโยโกไซมัส แปลว่า สวัสดีตอนเช้า ใช้ได้เมื่อเจอกันตอนเช้า   ซาโยนารา แปลว่า ลาก่อน ใช้เมื่อต้องการกลับ แต่เป็นการกลับที่ยาวนาน เช่นลากลับบ้านต่างประเทศ  โอซากินิ ชิตสึเรชิมัส แปลว่า ขอตัวกันก่อน ใช้เมื่อเสร็จธุระ หรือขอออกจากสถานที่นั้นก่อน   โอยาซุมินาไซ แปลว่า ราตรีสวัสดิ์ ใช้เมื่อร่ำลาแยกย้ายเข้านอน   อิรัชไชมาเซ แปลว่า เชิญเข้ามาเลย  เป็นคำที่เราจะได้ยินบ่อย เมื่อเราไปร้านร้านขายของฝาก   อาริกาโตโกไซมัส แปลว่า ขอบคุณ เป็นคำที่ใช้บ่อย และเจอบ่อยที่สุดเมื่อไปญี่ปุ่น ไม่ว่าเขาหรือเราก็ต้องพูดคำว่า อาริกาโตโกไซมัส หรือขอบคุณนั้นเอง  เคี่ยววะ โม่ อีคะนะเขี่ย  แปลว่า วันนี้ฉันต้องไปแล้วนะ ใช้เมื่อต้องการที่จะขอตัวไปที่อื่น   คอนนิจิวะ  แปลว่า สวัสดี ใช้เมื่อต้องการทักทาย เป็นคำยอดฮิตเมื่อเจอหน้ากัน  โอะเก็งขิเดสก๊ะ  แปลว่า คุณสบายดีไหม เป็นคำถามยอดฮิตเช่นกัน ไว้ใช้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน  มาตะไออี มะซโย  แปลว่า ไว้พบกันใหม่ เป็นคำที่ใช้ในการจากลา ของวันนั้น แต่จะพบกันใหม่   และก็ครบ 10 คำที่สามารถได้ยินบ่อยๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น เห็นไหมล่ะว่าภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังน่ารักมากด้วย คำบางคำนั้นเราก็ได้ยินบ่อยพอคุ้นหูกันอยู่บ้างแล้ว การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อพูดคุยกับเจ้าของภาษา ถือว่าเป็นการใส่ใจแสดงถึงการเคารพที่ยอดเยี่ยม รับรองว่าคุณจะได้ไมตรีและความผูกพันจากคนญี่ปุ่นได้รอยยิ้มจากเพื่อนร่วมโลกที่แสนอบอุ่นแน่นอน และวันนี้แอดต้องขอตัวลาไปก่อนนะคะ ซาโยนารา มาตะไออี มะซโย

ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)

ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)

5

  สวัสดีค่ะวันนี้แอดจะพามารู้จักย่านเที่ยวดังอีกหนึ่งที่ เป็นย่านที่ ใครเคยมาแล้วต้องอยากมาอีก ย่านฮิกาชิยาม่า นั้นเอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คงความเก่าแก่ สไตล์โบราณที่มีมาเนินนาน แค่เพียงก้าวขาเดินเข้าไปในย่านแห่งนี้ ก็เหมือนหลุดเข้าไปในยุคญี่ปุ่นโบราณ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร หรือสิ่งปลูกสร้างบริเวณนั้นสร้างด้วยไม้ทั้งหมด ทำรูปทรงหลังคาโดยใช้กระเบื้องแบบโบราณ คงธีมสีเดียวกันหมดทั้งแถบมองแล้วสบายตาสุดๆ ทางเดินแคบๆที่ไม่กว้างมากนัก มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายของฝากเรียงรายติดๆกันเต็ม 2 ฝั่งทางเดิน นอกจากร้านขายสินค้าต่างๆ ไฮไลท์เด็ดต้องลองร้านขนมพื้นเมือง ที่ส่วนมากจะทำจากเตากันสดๆร้อน ไปย่านนี้ไม่ต้องกลัวอดเลย ของกินเยอะมากๆให้ชิมกันพุงกางเลยค่ะ   ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama) ถือได้ว่าเป็นย่านการค้าที่ฮอตฮิตมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโตเลย โดยย่านนี้จะตั้งอยู่บริเวณที่เป็นเนินเขาทางตะวันออกของเกียวโต ย่านแห่งนี้คงความเก่าแก่เป็นหลัก และอนุรักษ์เมืองเก่าที่สวยงามและยังคงภาพความเป็นมาของญี่ปุ่น ในยุคระบบศักดินาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ยังมีวัดกับศาลเจ้าโบราณ และอื่นๆ อีกเพียบ แม้หลายคนจะแวะมาที่ฮิกาชิยามะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง แต่เมืองนี้ก็ถือว่าเหมาะมากๆ สำหรับคนที่รักการเที่ยวชมวัฒนธรรม และชอบดูวิถีชีวิตย้อนยุค นอกจากถนนเส้นหลักแล้ว ตรอกซอกซอยย่อยๆย่านนี้ก็เป็นแบบเมืองเก่าน่ารัก เหมาะกับการเดินเล่นชมเมืองถ่ายรูปมากๆ ถ้าใครอยากสร้างตรีมให้เข้ากับบรรยากาศ แนะนำให้เช่าชุดยูกาตะใส่ด้วย ใครสนใจจะมีร้านเช่าชุดยูกาตะให้บริการบริเวณหลายร้าน ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติก็นิยมใส่เดินเล่นย่านนี้กัน เพื่อให้เข้าบรรยากาศและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือจะเช่าชุดยูกาตะใส่ถ่ายรูปหมู่ก็ได้ ยิ่งอยู่ไกล้วัดนำ้ใสทำให้มุมและโลเคชั่นถ่ายรูปเยอะเป็นพิเศษ และ เที่ยวได้หลายต่อ ช่วงวันหยุดคนจะเยอะเป็นพิเศษหน่อย หากใครไม่ชอบคนเยอะๆ แนะนำให้ไปวันปกติเอานะคะ เข้าชมฟรี เปิด-ปิด 10:00 - 18:00 น. เปิดทุกวันวิธีการเดินทางโดยรถบัส เดิน 10 นาที จากป้ายรถบัสโกโจซากะ (Gojozaka) [สายรถบัส 100, 206]เดิน 15 นาที จากป้ายรถบัสกิออน (Gion) [สายรถบัส 100, 206]

ย่านอันตรายในญี่ปุ่น ย่าน คาบูจิโก

ย่านอันตรายในญี่ปุ่น ย่าน คาบูจิโก

6

  เราเห็นด้านสวยงามกันมาเยอะแล้ว วันนี้ลองมาดูด้านมืดบ้าง ย่านที่ชื่อเสียงโด่งดังว่าอันตราย อันตรายจริงไหมไปดูกันค่ะ  ไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกคนต้องนึกถึงสถานที่สวยๆงามๆ อาหารของกินอร่อยๆกันใช่ไหมค่ะ แต่ญี่ปุ่นก็มีย่านที่น่ากลัวเช่นกัน แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังไม่อยากจะย่างกลายเข้าไปเลย เช่น คาบูกิโจ เป็นย่านและแหล่งกำเนิดของยากูซ่า คาบูกิโจเป็นย่านโคมแดง แสงสี กลางคืน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีร้านอาหารคาราโอเกะ คลับ ผับ บาร์ลับๆเยอะแยะมาก เพราะเหล้าเยอะจะดึงดูดนักดื่ม นักเที่ยวกลางคืน มารวมตัวกันที่จุดนี้ แถมยังมีเจ้าถิ่นที่หน้ากลัว มีผู้คนแปลกหน้า วัยรุ่น และพวกอันธพาลทั้งหลาย ครองย่านนี้ไปแล้ว น่ากลัวมากเรียกได้ว่าเห็นหน้าไม่รู้ใจ ซึ่งอย่างชาวเราๆชอบดูนกชมไม้ แตกต่างกันมากใช่ไหมล่ะ อย่าหลงเข้าไปดีที่สุด เพราะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างอย่างแม้แต่ตำรวจเองยังช่วยไม่ได้ นานๆขับรถมาที แต่ก็ทำทีมาตรวจขับผ่านละก็ไป เป็นย่านราตรีที่น่ากลัวจริงๆ ถ้ายังไม่รู้วิธีเอาตัวรอดอย่าไป ถึงแม้ญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ขอให้เว้นย่านนี้ไว้สักย่านนึง เป็นสถานที่ที่รวมความสีเทาอยู่เยอะ ทั้งยากูซ่า และคนต่างชาติที่ทำงานอย่างผิดกฏหมาย รวมถึงธุรกิจสีเทาอยู่ในย่านนี้ทั้งหมด ใครไปเที่ยวก็ระวังถูกยัดสิ่งของผิดกฏหมาย ระวังถูกกักตัวโดยไร้เหตุผล โดนหาเรื่องจากนักเลงเจ้าถิ่น โดนขายของแพงเกินราคาจริงให้ ถ้าหลงเดินเข้าไปอย่าไปเผลอจ้องหน้าใครแบบนานๆละ อย่าจะมีเรื่องทะเลาะกันก็ได้ ผู้หญิงที่ชอบคนเดียว ระวังการเดินคนเดียวยามค่ำคืน ถ้าผิดสังเกตว่ามีคนตาม พยายามเดินหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่ดูน่าไว้ใจ อยู่กับคนกลุ่มหรือขอความช่วยเหลือ ขอตามไปด้วยจนกว่าจะรู้ปลอดภัย อย่าลืมบันทึกเบอร์ตำรวจหรือจำเบอร์คนสนิทที่ติดต่อง่ายไว้ด้วยนะคะ แต่ย่านนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะหมด ยังมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม แหล่งช้อปปิ้ง มากมายตอนรับนักท่องเที่ยว นักช้อป อยู่เยอะ ส่วนใครที่อยากไปเห็นสถานที่ แนะนำให้ไปกลางวัน หรือใกล้คำ่พอค่ะ หลีกเลี่ยงเวลากลางคืนได้ยิ่ง ยิ่งดึกยิ่งไม่ปลอดภัย

ย่านโดทงโบริ (Dotonbori)

ย่านโดทงโบริ (Dotonbori)

4

  สวัสดีค่ะ วันนี้แอดก็จะมาแนะนำสถานที่ยอดฮิต ย่านดังของโอซาก้า นั้นก็คือ ย่านโดทงโบริ โดทงโบริเป็นย่านที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักสร้างสรรค์ นักดื่ม บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยป้ายไฟนีออน ผับ บาร์ และร้านค้าบริการอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่น ให้ผู้คนที่แวะเวียนไปมา ได้สัมผัสชีวิตยามค่ำคืนของเมืองโอซาก้าแห่งนี้ โดทงโบริเป็นย่านยอดฮิตของวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยามราตรี จะต้องมารวมกันที่นี่ ต้นกำเนิดของย่านโดทงโบริย้อนกลับไปได้ถึงช่วงต้นยุค 1600 เมื่อนักธุรกิจท้องถิ่นได้ขยายตลิ่งแม่น้ำโดทงโบริให้กว้างขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าให้มากขึ้น ภายใน 50 ปีหลังจากนั้น ย่านนี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มีโรงละครคะบุกิถึง 6 โรง และโรงละครบุนระคุ (หุ่นเชิด) ถึง 5 โรงด้วยกัน อีก 400 ปีต่อมา ย่านนี้ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางความบันเทิงซึ่งดึงดูดทั้งผู้คนในท้องถิ่นและนักเดินทางจากต่างถิ่นอย่างมาก แผงป้ายไฟนีออนขนาดใหญ่หน้าร้านค้าและอาคารต่างๆ ในโดทงโบริแสดงให้เห็นถึงความทันสมัย แถบนี้ทั้งแถบยังคงบรรยากาศแบบย้อนยุค แต่ยังล้ำอนาคตนี้ไว้ ซึ่งลงตัวกับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหากลิ่นอายเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นในแบบที่คุ้นตา ทั้งริม 2 ฝั่งของแม่น้ำโดทงโบรินั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมายสำหรับทั้งกินและดื่ม เมื่อเดินไปตามทางเดินก็จะพบกับร้านอาหารคานิโดระกุ ซึ่งเหนือทางเข้าจะมีการจัดแสดงปูยักษ์ไว้อย่างโดดเด่นสวยงาม มีซุ้มขายราเม็งกลางแจ้งก็ตั้งกระจายกันอยู่ทั่วพื้นที่ ส่งกลิ่นหอมโชยไปตามลม ชวนน้ำลายสอท้องร้องจ๊อกๆกันเป็นแถว เวลายามคำ่คืนเหมาะกับการมาที่ย่านโดทงโบริมากที่สุด เมื่อมีแสงไฟส่องสว่างและผู้คนครื้นเครง หากต้องการทานของว่างเบาๆ ก็อย่าลืมลิ้มลองโอโคโนมิยากิ หรือพิซซ่าญี่ปุ่น ชื่อดังของโอซาก้า รวมถึงทาโกะยากิ ของว่างที่ทำจากแป้งสูตรพิเศษปั้นเป็นลูกกลมสอดไส้ปลาหมึก หากต้องการสัมผัสประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มในแบบรรยากาศที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ก็ขอแนะนำให้ไปร้านอิซะกะยะ หรือหากต้องการสังสรรค์เต้นรำตลอดคืน ก็มุ่งหน้าไปยังคลับใดคลับหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงได้  หากใครต้องการไปเที่ยวย่านนี้ อย่าลืมหาที่พักใกล้เคียงไว้ด้วยนะคะ เพราะคงจะได้เที่ยวเพลิดเพลินอีกหลายวัน แถวย่านนี้ก็มีห้างสรรพสินค้าให้ได้เที่ยวช้อปปิ้งกันอยู่หลายห้างดังอีกด้วย ไปทีเดียวจบ วิธีการเดินทางจากสถานี Namba (รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line, Sen-Nichimae Line หรือ Yotsubashi Line) ทางออก Exit 14 เดินประมาณ 3 นาทีจากสถานี Osaka-Namba (รถไฟสาย Hanshin หรือ มาลงที่สถานี Kintetsu)  เดินประมาณ 4 นาทีจากสถานี Namba (รถไฟสาย Nankai) เดินประมาณ 10 นาที

เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

5

  เมืองออนเซ็นคุโรคาวะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ( ภูเขาเอโซะ ) ในจังหวัดคุมาโมโต้ เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ เป็นเมืองออนเซ็นที่ฮอตฮิตตลอดกาลของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ได้รับการนิยมจากนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นเองจะชอบการแช่ออนเซ็นเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการได้แช่ออนเซ็น เหมือนร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การรักษาร่างกายให้อบอุ่นทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุต่างๆได้เต็มที่อีกด้วย เพราะการแช่ออนเซ็นของชาวญี่ปุ่นนั้น มีมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยญี่ปุ่นโบราณสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เมืองออนเซ็นคุโรคาวะที่มีออนเซ็น แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นมีที่สำหรับแช่ออนเซ็นให้เห็นอีกมากมากมาย แต่เมืองออนเซ็นโรคาวะแห่งนี้จะมีเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความมีเสน่ห์ที่ลงตัวของเมืองออนเซ็นคุโรคาวะ จากบรรยากาศโดยรอบได้รักษาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่คงความเก่าแก่ไว้เป็นอย่างดี หากถ้าได้ก้าวขาเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนหลุดไปอยู่ในที่ เพราะโซนแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็น ตึก อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม เน้นสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมโบราณทั้งหมด ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นเหมือนชนบทย้อนยุค ที่มีธรรมชาติจากต้นไม้เขียวที่สวยงามสลับกับใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม่ร่มเย็น มีแม่น้ำไหลผ่านธรรมชาติสุด ภายในเมืองแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยโรงอาบน้ำแบบออนเซ็น และโรงแรมแบบญี่ปุ่นหรือเรียวกัง มีร้านค้า ร้านอาหาร ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนมากมาย และถ้าอยากได้บรรยากาศเข้าไปอีก ควรเปลี่ยนเป็นชุดกาตะและรองเท้าเกี๊ยะแบบญี่ปุ่น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเหมือนคนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ชุดก็จะมีให้บริการกับแขกที่มาพักที่โรงแรมทุกคน ด้วยเมืองออนเซ็นที่มีเสน่ห์แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องที่อยากใส่และสัมผัสชุดกาตะ ไว้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ชุดกะตะสามารถใส่ไปเดินเล่นตามหมู่บ้าน หรือร้านอาหารก็ได้ทั้งหมด หากใครนึกถึงที่แช่ออนเซ็นต้องนึกถึงที่นี่นะคะ เพราะมีครบจบทีเดียว ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนจิตใจและร่างกายได้ดีเลยทีเดียว ส่วนแอดต้องขอตัวลาไปแช่ออนเซ็นให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนนะคะ เกือบลืมค่ะใครที่สนใจมีแพลนจะไป แอดแนะนำว่าให้เอารถส่วนตัวหรือเช่ารถไป จะสะดวกกว่านะคะวิธีการเดินทางคุโรคาวะ ไม่มีรถไฟ มีแต่รถบัสเท่านั้น ถ้ามาจากฟูกุโอกะ จะมีรถบัสพิเศษที่จะวิ่งจากสถานีรถไฟ มาที่เมือง วันละ 2 รอบ ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชัวโมง ราคา 3,090 เยนต่อเที่ยว

ภูเขาไฟฟูจิ

ภูเขาไฟฟูจิ

4

  ที่เที่ยวไฮไลท์ของญี่ปุ่น คงต้องยกให้ภูเขาไฟฟูจิเลย ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟ ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นนะบอกเลย เอ่ยชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิใครๆก็รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 5-6 ปี ก็รู้จักกันแล้วตำนานมาก  ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดและสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาในฤดูกาลไหนก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป และถ้าหากวันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่งมากๆ ก็จะสามารถมองเห็นได้จากเมืองโตเกียว และเมืองโยโกฮาม่าด้วย ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่บริเวณจังหวัด ชิซูโอเกะและจังหวัดยามานาชิอยู่ทางตะวันตกของโตเกียว ในปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ชาวญี่ปุ่นได้มีความผูกพันกับภูเขามานานหลายศตวรรษ ตำนานเล่าว่านักบวชฮะเซะงะวะ โคะโกะเกียว (ค.ศ. 1541 - 1646) ที่เป็นบุคคลสำคัญได้เคยปีนขึ้นลงภูเขานี้มากว่า 100 ครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีการก่อตั้งกลุ่มฟูจิโกะซึ่งเป็นกลุ่มที่รวม ผู้นับถือภูเขาไฟฟูจิ ผู้นับถือนิกายนี้ได้ก่อตั้งศาลเจ้า สร้างอนุสาวรีย์หิน และอดอาหารเป็นการอุทิศ ความคลั่งไคล้นี้ท้ายที่สุดก็เป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลโชกุนโทกุกาวะตัดสินใจสั่งห้ามนับถือศาสนานี้ แต่ถึงอย่างนั้น ประเพณีบูชาภูเขาที่มีมาอย่างช้านานก็ได้ทำให้ภูเขาลูกนี้ยังคงเป็นที่เคารพนบน้อมในฐานะสถานที่ที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่สามารถชมความงามของทั้งภูเขาไฟฟูจิและใบไม้เปลี่ยนสีได้พร้อมกัน ให้คุณได้สนุกกับการท่องเที่ยวและเก็บภาพทิวทัศน์สวยๆ ของภูเขาไฟฟูจิมาโพสต์ลงเฟสบุ๊คและอินสตาแกรมอวดเพื่อนๆกัน ไปถึงญี่ปุ่นแล้วอย่าพลาดที่จะไปที่ภูเขาไฟฟูจิแห่งนี้ ไปสัมผัสบรรยากาศที่แสนจะงดงามของธรรมชาติกันนะทุกคน

พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส

พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส

4

  สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับพิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสเป็นสวนสนุกขนาดเล็กเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องดนตรีแบบอัตโนมัติ ภายในห้องโถงหลักมีกล่องดนตรีโบราณแดนซ์ออร์แกนขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส กล่องดนตรีนี้จะบรรเลงเพลงดนตรีทุกๆ 30 นาที และภายในยังมีเครื่องเล่นดนตรีอัตโนมัติอีกหลายอย่าง เครื่องดนตรีอัตโนมัติส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศในแถบยุโรปทั้งหมด ภายในห้องโถงนี้ยังใช้จัดกิจกรรม แสดงคอนเสิร์ต จากศิลปินนักดนตรีเพลงคลาสสิคจากทั่วโลก ได้มาจัดแสดงในที่แห่งนี้ ที่แวะเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นประจำทุกวัน ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์ยุโรปอย่างหรูหรา ผสมผสานกับเครื่องดนตรีแปลกๆไว้ให้เดินชม ภายนอกอาคารก่อสร้างเป็นทรงบ้านสไตล์ยุโรปโบราณสวยงาม ภายนอกมีสวนหญ้าเป็นสวนหย่อมเล็กๆ และมีสวนดอกกุหลาบที่สวยงามมาก ภายด้านหน้าก็มีน้ำพุมองแล้วได้ฟิวส์เหมือนไปยุโรปจริงๆเลยค่ะ แถมฉากหลังยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบอีกด้วย เรียกได้ว่าวิวโดยรอบบรรยากาศดีสุดๆ สถานที่เที่ยวในญี่ปุ่น ที่ถูกสร้างสไตล์ยุโรปมีไม่มากนัก จึงทำให้พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสแห่งนี้ มีความแปลกใหม่สวยแปลกตา สำหรับนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นอย่างมาก นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นนิยมมาเดินเล่นที่นี่กันมาก เพราะนอกจากมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม มีดนตรีเพราะๆให้ฟังกันเพลินๆ เข้ากับบรรยากาศโรแมนติกแล้ว ยังมีร้านค้าขายของ ร้านอาหาร ขายเค้ก ขายชาเขียว ที่อร่อยมากให้นักท่องเที่ยวได้นั่งกิน เหมือนคาเฟ่เล็กๆ เปรียบเสมือนเป็นมุมพักผ่อน หรือทานข้าวกับครอบครัวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ ยังรับจัดงานเลี้ยงเล็กๆให้ด้วย ใครที่อยากจัดวันเกิดหรือมี Surprise ให้คนสำคัญก็สามารถจองโต๊ะไว้ได้ และมีดนตรีเปิดให้ฟังตลอดทั้งวัน ช่วงในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนจะมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงใช้เวลากับครอบครัว ส่วนสาวๆที่ชอบถ่ายรูปห้ามพลาดที่นี่ เพราะเขามีบริการให้เช่าชุดเจ้าหญิงด้วย  ไว้ใส่สวยๆให้เข้ากับบรรยากาศ หรือใส่เดินเที่ยว เดินหามุมถ่ายรูปสวยๆได้นะคะ ค่าเช่าชุด ผู้ใหญ่ราคา 1,000 เยน เด็กราคา 500 เยน  เวลาในการเช่าชุดก็ประมาณ 90 นาที มาญี่ปุ่นแต่ได้อารมณ์เหมือนไปยุโรป ถือว่าแปลกใหม่ไปอีกแบบ สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ หากใครมาเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ ก็แวะมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันได้นะคะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ    ค่าเข้าชม 1,300 เยน เวลาปิด-เปิด 9:00-17:30 ( เข้าชมก่อน 17:00 ) ไม่มีวันปิดทำการ เปิดทุกวัน วิธีการเดินทางจาก Kawaguchiko Station นั่งรถบัส retro bus สาย Kawaguchiko Line ไปลงที่ Ukai Orugoruno Mori Bijutsukan ประมาณ 25 นาที

พระราชวังอิมพีเรียล ที่ญี่ปุ่น

พระราชวังอิมพีเรียล ที่ญี่ปุ่น

4

  สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะพามาทำความรู้จักกับพระราชวังอิมพีเรียลกันค่ะ เพื่อว่าใครไปญี่ปุ่นแล้วนึกที่เที่ยวไม่ออก แอดขอแนะพระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้เลยค่ะ   พระราชวังอิมพีเรียลมีประวัติและความเป็นมายังไงบ้างไปดูกันเลยค่ะ พระราชวังอิมพีเรียลคือที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชวังแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในเขตพื้นที่เดิมของปราสาทเอโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่ของโชกุนโทคุกาวะก่อนปี ค.ศ.1868 พื้นที่ภายในกว้างใหญ่ มีสวนหย่อม มีคูน้ำไหล สวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก มีพระตำหนักที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะ บริเวณพระราชวังจึงล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหินโบราณสูงเรียงกันเป็นชั้นๆ ตัวโครงสร้างพระตำหนักมีสีขาวเป็นหลัก หลังคาทรงโบราณสลับซับซ้อนสีเทา สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถัน และนอกจากนี้พระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานพิธีสำคัญๆต่างๆที่สำคัญๆอีกด้วย แนะนำให้ลองไปเดินเล่นภายในและบริเวณรอบๆพระราชวังแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนาน พระราชวังแห่งนี้งดงามไปด้วยธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างที่งดงาม ล้ำค่า ละลานตา ให้อารมณ์ย้อนยุคเหมือนพระราชวังสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นฉากที่สวยงามราวกับความฝัน เต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่งสีอมชมพูและใบไม้เปลี่ยนสีเข้ากับพระราชวังแห่งนี้มาก จุดเด่นจะเป็นความสวยงามของกำแพงโบราณที่สูงสวยงามเรียงด้วยหินอย่างมีระเบียบ มีวิธีการสร้างอย่างโบราณ มีแหล่งคูนำ้ธรรมชาติล้อมรอบ ภายในมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ให้ร่มเย็นสีเขียวดูสบายตา และสวนหญ้าขนาดใหญ่ไว้ให้เดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะความสวยงามอันมีเสน่ห์ของพระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ จึงมีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองญี่ปุ่นแวะเวียนกันมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง วันหยุดสุดสัปดาห์คนจะเยอะนิดนึงนะคะ การเข้าชมภายในพระราชวังอิมพีเรียลนั้นต้องลงทะเบียนก่อนนะคะ สามารถทำการลงทะเบียนล่วงหน้าทางออนไลน์ หรือมารอต่อแถวลงทะเบียนที่ด้านหน้าพระราชวัง ในวันที่ต้องการเข้าชมก็ได้ การเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลนั้นจะมีเจ้าหน้านำทางพาไป เหมือนไกด์นำเที่ยวคอยให้ความรู้ตามจุดและพื้นที่สำคัญของพระราชวังอิมพีเรียลข้อมูลอย่างหนาแน่น โดยเจ้าหน้าที่จะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษนะคะ การเที่ยวชมพระราชวังจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 เท่านั้น และภายในพระราชวังแห่งนี้ ยังมีร้านค้าที่จำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับพระราชวังไว้ให้ได้ซื้อ เที่ยวชม ติดไม้ติดมือเป็นของฝาก หรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้ค่ะ สักครั้งนึงในชีวิตต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งนะคะ แล้วจะไม่ผิดหวังกลับไปอย่างแน่นอน   การเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับบุคคลทั่วไปเปิดเข้าชมวันละ 2 รอบ  วิธีการเดินทางสำหรับการเดินทางไปที่พระราชวังอิมพีเรียลนั้นแนะนำให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Subway สาย Chiyoda Line ลงที่สถานี Nijubashi-mae(C10)  Exit 2  เมื่อเดินขึ้นสถานีมาเดินอีก 5 นาทีจะถึงบริเวณเขตพระราชฐานของพระราชวังแล้วค่ะ

ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)

ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)

3

  วันนี้จะพามาทำความรู้จักปราสาทนาโกย่าอันโอฬารของญี่ปุ่น สัญลักษณ์ของเมืองซามูไรกันค่ะ ประวัติและความเป็นมาของประสาทแห่งนี้ มีประวัติที่ยาวนาน ในสมัยเอโดะ (1603-1868) นาโกย่าเป็นหนึ่งในเมืองปราสาทที่สำคัญที่สุด และปราสาทนาโกย่าก็เป็นที่พำนักของตระกูลโอวาริโทคุกาวะ หนึ่งในสามสายสกุลโทคุกาวะที่มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็นโชกุน อีกทั้งยังเป็นแนวหน้าในการป้องกันเมืองเมื่อสู้รบกับโอซาก้าด้วย ปราสาทนาโกย่าประดับหลังคาด้วยรูปหล่อปลาโลมาทองคำระยิบระยับ 18 กะรัต สูง 2 เมตรที่น่าประทับใจ และเป็นหอคอยปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยการก่อสร้างป้อมปราการเริ่มขึ้นในปี 1610 และเสร็จสมบูรณ์ 2 ปีหลังจากนั้น ท่านโทคุกาวะ อิเอะยะสุ โชกุนผู้มีเล่ห์เหลี่ยม ได้สร้างปราสาทขึ้นโดยไม่ใช้ทรัพย์ส่วนตัวใดๆ ด้วยการสั่งให้ 20 ขุนพลที่เคยเป็นศัตรูมาก่อนก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างนี้จนเสร็จ โดยการจัดหาและขนส่งหินใหญ่หลายตัน วัสดุก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายแรงงานนั้น เป็นภาระการเงินที่หนักหนาแก่ขุนพลทั้งหลาย ซึ่งป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้จ่ายกับอาวุธ ชุดเกราะ และกองทัพ ส่งผลให้โอกาสการแข็งข้อลดลงตามมา ส่วนใครก็ตามที่ปฏิเสธจะให้ความร่วมมือก็จะถูกกำจัด และเพื่อแสดงความยินยอมอยู่ในโอวาท หลายคนก็ได้สลักตราประจำตระกูลลงบนก้อนหินที่พวกเขาหามา เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดี โดยตราประจำตระกูลเหล่านี้ยังสามารถพบเห็นได้บนกำแพงหิน และการตามหาตราที่หลากหลายเหล่านี้ ก็กลายเป็นอีกกิจกรรมเสริมที่น่าสนุก และภายในปราสาทแห่งนี้จะมีภาพวาดอยู่ภายในเยอะแยะมากมาย เรียงรายตามผนัง โดยภาพวาดก็จะมีเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยก่อนต่างๆกันไป แต่ไม่สามารถเข้าชมได้ สามารถเดินดูได้แค่รอบๆปราสาทเท่านั้น แต่ถึงจะแค่ภายนอกก็สวยงามจนต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปกันแทบไม่ไหว เรียกได้ว่าประวัติและความเป็นมายาวนานจริงๆถ้าให้เล่าคงเล่าไม่หมดต้องไปสัมผัสกันเอาเอง จะได้เห็นถึงความสวยงามของคนสมัยก่อนสร้างเอาไว้ อัตราค่าเข้าชมผู้ใหญ่: 500 เยนนักเรียนมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ไม่เสียค่าเข้าชม  ผู้สูงอายุที่อาศัยในเมืองนาโกย่า ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 100 เยนอาจต้องมีการยืนยันตัวตนและหลักฐานความเป็นผู้อาศัยสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป (บัตรประกันสุขภาพ, ใบขับขี่, พาสปอร์ต เป็นต้น)

บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะ (Shirogane Blue Pond)

บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะ (Shirogane Blue Pond)

2

  บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะ เป็นบ่อนำ้สีฟ้าแห่งพรสวรรค์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ความสวยงามของธรรมชาติมีดีให้มนุษย์อย่างเราๆ ได้เห็นได้อึ้งกันเยอะแยะมากมาย บ่อนำ้สีฟ้าแห่งนี้ก็เช่นกัน ก่อนจะมาเป็นสระนำ้สีฟ้า หรือ บ่อน้ำสีฟ้า สีฟ้าของบ่อน้ำที่เห็นเกิดจากการสร้างเขื่อนขึ้นในบริเวณนั้นเพื่อกักน้ำไว้ เป็นการป้องกันการเกิดโคลนถล่มจากภูเขาไฟ ดังนั้นอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ที่เกิดจากจากการปะทุของภูเขาไฟแถวนั้นทำให้น้ำในบ่อทั้งหมดกลายเป็นสีฟ้าสวยงามที่ธรรมชาติสร้างมาให้เราเห็น สีฟ้าใน บ่อน้ำสีฟ้า จะเข้มหรือจางมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจุดที่เรายืนชมและปริมาณของแสงแดดที่ส่องกระทบผิวน้ำในแต่ละวัน จุดกำเนิดที่ทำให้ผู้คนสนใจบ่อนำ้สีฟ้าแห่งนี้มากขึ้น อาโออิเกะ ที่ถ่ายโดยช่างภาพจากฮอกไกโดกลายเป็นที่รู้จักเพราะได้รับรางวัลในการประกวดภาพถ่ายปี 2554 และภาพถ่ายดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นวอลล์เปเปอร์สำหรับอุปกรณ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ฉันทำได้ หลังจากนั้น ความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของ สระสีน้ำเงิน ก็ดึงดูดความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมไม่เพียงแต่ในญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ยังรวมถึงต่างประเทศด้วย และบ่อน้ำสีฟ้าแห่งนี้ยังสามารถเปลี่ยนสีไปตามฤดูอีกด้วย อย่างเช่นในต้นฤดูใบไม้ผลิเนื่องจากหิมะละลายจำนวนมากไหลเข้ามาสระน้ำจะมีสีเขียวแกมนำ้เงิน และ ในฤดูร้อนซึ่งมีวันที่มีแดดจัดและมีแสงแดดจ้ามากทำให้สระแห่งนี้มี สีฟ้าสดใส เป็นช่วงเวลายอดนิยมที่จะเพลิดเพลินไปกับผิวน้ำ และฤดูหนาว ที่หิมะตกโปรยปรายให้บบรรยากาศสระสีฟ้าและหิมะขาว สวยไปอีกแบบ หากคุณมีโอกาสอยู่ใกล้ ๆ เช่น "Biei Shirogane Onsen" ลองแวะไป สัมผัสกับบรรยากาศที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้กันดู หรืออยากจะสัมผัสกับสีน้ำของสระน้ำแห่งนี้ แบบไหนก็เลือกฤดูที่จะไปชมตามความชอบได้เลย และอย่าลืมพกกล้องและแต่งตัวให้เหมาะกับสภาพอากาศของแต่ละวัน เพื่อความสะดวกสบายในการท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุขไร้อุปสรรค ความน่าไปให้ 5 ดาว เลยค่ะ วิธีการเดินทาง นั่งรถบัสจากสถานี Biei Station ประมาณ 23 นาที จะถึงบริเวณบ่อน้ำ สถานที่ตั้ง Shirogane, Kamikawa-gun, Biei-cho 071-0235, Hokkaido