เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

สิ่งที่คาดไม่ถึงที่ทำแล้วผิดกฏหมาย ในประเทศญี่ปุ่น

สิ่งที่คาดไม่ถึงที่ทำแล้วผิดกฏหมาย ในประเทศญี่ปุ่น

3

  ใครจะไปเที่ยวญี่ปุ่น หรือไปต่างบ้านต่างเมือง เราควรศึกษากฎหมายและวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ไว้บ้างก็คงไม่เสียหาย จะได้ไม่เผลอทำผิด อย่างเช่นวันนี้แอดจะมาบอกถึง สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าทำแล้วผิดกฎหมาย ของประเทศญี่ปุ่น มีอะไรบ้างลองมาดูกัน 1 การแซงคิว แน่นอนใครจะไปคิดว่าการแซงคิวในประเทศญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายแล้ว การแซงคิวผู้อื่น ถือว่ามีความผิดมีโทษเท่ากับการถ่มน้ำลายในสวนสาธารณะ มีโทษ จำคุกสูงสุด 30 วัน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 เยน หรืออาจโดนบันทึกไว้ในประวัติอาชญากรรมข้อหาแซงคิว2 ถุยน้ำลายลงบนพื้นที่สาธารณะ ถุยน้ำลายขากเสลดบนพื้นในสวนสาธารณะ มีโทษติดคุกสูงสุด 30 วัน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 เยน  (300-3,000 บาท) และอาจโดนบันทึกไว้ในประวัติอาชญากรรม ไปญี่ปุ่นอย่าเผลอถุยน้ำลาย ทิ้งมั่วซั่วนะคะ 3 ดื่มแอลกอฮอล์แล้วปั่นจักรยาน ดื่มแอลกอฮอล์แล้วไปปั่นจักรยาน อาจโดนปรับสูงสุด 1ล้านเยน (308,000บาท) หรือจำคุกสูงสุด 5 ปีและถ้าไม่หยุดตามสัญญาณไฟจราจรจะโดนปรับ 5 แสนเยน (154,000 บาท) หรือติดคุก 3 เดือน4 อ้วกบนรถแท็กซี่ ถ้าเกิดเราอ้วกบนรถแท็กซี่สาธารณะ เจ้าของรถแท็กซี่สามารถเรียกค่าเสียหายและค่าบำรุงรักษารถจากเราได้ ค่าเสียหาย เป็นไปตามที่ตกลง หากเราไม่จ่าย คนขับแท็กซี่สามารถเอาผิดเราทางกฎหมายได้5 ห้ามปีนเสาโทรศัพท์ ห้ามปีนเสาโทรศัพท์และเข้าใกล้เสาสัญญาณต่างๆมากเกินไป นอกจาก จะอันตรายกับตัวเราเองแล้ว อาจผิดกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นด้วย เพราะคนที่จะปีนได้ต้องมีใบอนุญาตจากการไฟฟ้าเท่านั้น6 สูบบุหรี่ในบริเวณที่ห้ามสูบในสถานีรถไฟ ห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์ห้ามสูบถ้ายังฝ่าฝืนจะต้องโดนค่าปรับหรือจำคุกตามกฏหมายของทางญี่ปุ่น โทษฐาน ฝ่าฝืนกฎและทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน7 ดูถูกผู้อื่น หากดูถูกเยาะเย้ยผู้อื่นให้ได้รับความอับอายต่อหน้าผู้คน หรือไม่ต่อหน้าก็ตาม หากผู้นั้นไม่ได้ยินยอมถือว่ามีมีความผิดทางกฎหมาย อาจจะได้ไปนอนเยาะเย้ยในคุกแน่นอน 8 ห้ามทิ้งขยะ กฎหมายของทางญี่ปุ่นหรือว่าของประเทศไหนรวมถึงไทยเราเองด้วย ก็เข้มงวดเรื่องการทิ้งขยะถูกไม่ถูกที่ถูกทาง ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่ทางญี่ปุ่นนั้นมีกล้องวงจรเยอะมาก สำหรับจับตาตามจุดสำคัญที่มีคนแอบทิ้งขยะบ่อย ควรทิ้งขยะให้ถูกที่ ถึงแม้ขยะชิ้นนั้นจะเล็กแค่ไหนก็ตาม จะได้ไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง 9 ขโมย การขโมยของผู้อื่นหรือหยิบของผู้อื่นไปโดยที่ไม่ได้ขอ หรือเจ้าของไม่รับรู้ ถือว่าเป็นการขโมย มีโทษทางกฎหมาย ทั้งปรับและจำคุก ซึ่งกฎหมายของญี่ปุ่นจะเข้มงวดมาก ห้ามทำเด็ดขาด10 พูดเสียงดัง ใครจะไปคิดแค่พูดเสียงดัง ที่ต่างประเทศก็ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายแล้ว ที่ญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน การพูดเสียงดังเกินไปในที่สาธารณะ ทำให้ผู้อื่นได้รับความรำคาญเดือดร้อน คุณอาจจะโดนแจ้งจับข้อหา พูดจาเสียงดังทำให้ผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงรำคาญ อาจมีโทษปรับและจำคุกก็ได้  ถ้าอยู่ประเทศไทยบางสิ่งบางอย่าง  อาจจะยอมความไกล่เกลี่ยกันได้ แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่น ถ้าทำผิดกฎหมาย ก็คือผิด เพราะฉะนั้นควรศึกษาดี การวางตัว นั้นสำคัญไม่ว่าจะไปประเทศไหนๆ ควรให้เกียรติแก่สถานที่นั้นๆด้วย

สะพานคินไตเคียว แห่งญี่ปุ่น

สะพานคินไตเคียว แห่งญี่ปุ่น

2

  สะพานคินไตเคียวเป็นสะพานที่มีจุดเด่น และมีชื่อเสียงมาก เป็นสะพานโค้งไม้ 5 โค้ง รูปทรงสะพานถูกสร้างให้ออกมาแนวโบราณญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงก็ดูไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไร แต่ถ้าได้ไปเห็นของจริงบอกเลยว่าสวยมาก วิวโดยรอบมองเห็นภูเขามีอาคารบ้านเรือนตั้งสลับกันไปมา ให้บรรยากาศแบบธรรมชาติโดยแท้ และในแต่ฤดูกาลจุดสะพานคินไตเคียวยังเป็นจุดแลนด์มาร์คที่มีนักท่องเที่ยวแวะไปถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย ในฤดูใบผลิ โดยรอบจะมีดอกซากุระเบ่งบานสวยอมชมพูงดงามเข้ากับตัวสะพานสุดๆ   ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยไม่แพ้กัน ใบไม้สีส้มอมแดงเรียงรายสวยมาก ไฮไลท์คือฤดูหนาวหิมะโปรยปรายสีขาวสวยงดงามตามรอยภาพยนตร์ เหมือนหลุดไปในฉากเลยก็ว่าได้ แค่ได้เดินข้ามผ่านสะพานไม้แห่งนี้ก็รู้สึกดีแล้ว และไปเที่ยวที่สะพานคินไตเคียวแห่งนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวเลย เดินข้ามสะพานไปก็จะมีร้านไอศครีม ชื่อร้านว่า มุซาชิ ภายในร้านแห่งนี้ยังมีซอฟท์ครีมให้ลิ้มลองมากกว่า 100 รสชาติ หรือจะเอามาถ่ายรูปคู่ระหว่างเดินบนสะพานก็ฟินรูปสวยเข้ากับบรรยากาศมาก ยังไม่หมดนะ ยังมีอาหารกลางวันที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนึ่งในอาหารประจำถิ่น ที่มีการนำข้าวซูชิมาผสมกับรากบัว ปลาอาจิ ไข่ฝอย เห็ดชิตะเกะ วางคั่นกับผักสลับไปมา วางซ้อนๆกันหลายๆชั้นลงข้างในกล่องไม้ ปิดฝาและกดแน่นๆ ในการทำแต่ละครั้งสามารถกินได้มากกว่า 10 คนเลย คนสมัยเล่ากันว่า เมื่อสมัยก่อนก็ใช้วิธีนี้เป็นวิธีการบรรจุอาหาร เพื่อขนย้ายเข้าไปให้แก่ผู้คนในปราสาทในยามที่กำลังมีสงคราม เพราะปราสาทอิวะคุนิ ซึ่งอยู่บนเขาทำให้การขนย้ายจึงลำบาก วิธีนี้ทำให้ง่ายขึ้น จึงใช้เก็บอาหารและเอาออกมาแบ่งกันกินในภายหลัง เมื่อก่อนยังไม่มีค่าเข้าชมนะคะ แต่ตอนนี้มีแล้ว เพราะว่าสะพานคินไตเคียวได้รับการบูรณะใหม่เป็นครั้งแรกจากสะพานเดิม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 ร้อยล้านเยน จึงทำให้ต้องมีการเก็บค่าเข้าเพื่อเป็นการบำรุงรักษาตัวสะพานและย้อนกลับไปสู่ภาครัฐไปในตัว แต่ค่าเข้าก็ไม่ได้แพงเลยนะคะ ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยนเท่านั้น ราคาดีต่อกระเป๋ามากเปิดตลอดทั้งวันและ 24 ชั่วโมงวิธีทางมี 2 วิธี1 จากสถานี อิวาคูนิ  ถึง สถานีคินไตเคียว ใช้เวลา 20 นาที ค่ารถบัส 250 เยน (บัสจะออกทุกๆ 5-15 นาที)2 จากสถานี ชินอิวาคูนิ ถึง สถานีคินไตเคียว ใช้เวลา 15 นาที ค่ารถบัส 290 เยน (บัสจะออกชั่วโมงละ 2-3 คัน)

สะพานแขวนโฮชิโนะบุรังโกะ (Hoshi no Buranko)

สะพานแขวนโฮชิโนะบุรังโกะ (Hoshi no Buranko)

3

  วันนี้แอดจะพาทุกคนมาเที่ยวชมสะพานไม้ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นกัน เป็นอีกจุดไฮไลท์ที่ผู้คนมากมายต้องมาเที่ยวชมเดินบนสะพานแห่งนี้ โฮชิโนะบุรังโกะ (Hoshi no Buranko) นั้นเป็นสะพานแขวนขนาดใหญ่ที่มีความยาว 280 เมตร สูงจากพื้นดินมากที่สุดที่ 50 เมตร ด้วยพื้นฐานสะพานมีขนาดกว้างใหญ่ ปูเรียงรายทอดยาวด้วยไม้กระดาน และมีเสาฐานสะพานต้นใหญ่มากๆ ตลอดทางเดินสองข้างทางของตัวสะพานก็จะมีเชือกเรียงร้อยเป็นตาข่าย ป้องกันไว้ เพื่อความปลอดภัย ให้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามได้อย่างสบาย ปลอดภัย เป็นสะพานที่สามารถชิมวิวทิวทัศน์ 360 องศา โดยสะพานโฮชิโนะบุรังโกะแห่งนี้นั้นอยู่ใน อุทยานฮชิดะ (Hoshida Park) ซึ่งอยู่ที่เขตคะตะนะ จังหวัดโอซาก้า ระหว่างทางเดินไปยังสะพานแขวนนั้น ก็ยังมีแม่นำ้ลำธารเล็กๆตลอดทางเดิน มีจุดเด่นไฮไลท์เล็กๆตลอดทางเดินได้แวะชื่นชมไปเรื่อยๆ ก่อนถึงสะพาน และระหว่างทางไปยังสะพานแขวนก็จะมีที่ปีนผาขนาดกลางไว้ให้ปีนทำกิจกรรม และจุดพักผ่อน ให้นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังสามารถไฮกิ้งได้อีกด้วยนะคะ ช่วงเวลาที่แนะนำให้ไปเที่ยว ขอแนะนำช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม เนื่องจากเป็นช่วงที่ไม้ใบกำลังเปลี่ยนสี สร้างสีสันกำลังสวยให้กับสะพานแห่งนี้มาก เมื่อถึงตัวสะพานนักท่องเที่ยวก็จะเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันแสนงดงาม วิวนั้นสามารถมองเห็นพืชพรรณนานา ต้นไม้เล็กใหญ่สูงอันแสนสมบูรณ์ เปรียบเสมือนธรรมชาติได้โอบล้อมเราไว้ สะพานแขวนแห่งยังเป็นที่เที่ยวยอดฮิตของคนญี่ปุ่นเองและต่างชาติ หรือคนไทยเรา ที่ชอบ ความท้าทาย ปีนป่าย ขึ้นภูเขา อยู่แล้ว เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายอย่างมาก เพราะต้องเดินทางเท้าตามทางเดินธรรมชาติที่มีพื้นที่สูงตำ่สลับกันไปมา มีก้อนหินเยอะเหมือนเดินอยู่บนรางรถไฟ    ในช่วงวันหยุดนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นเองก็จะพากันมาสะพานแขวนแห่งนี้กันเยอะมาก ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มสาว ก็จะพากันมาเดินเล่นที่สะพานแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยว ที่ได้ใช้เวลาสร้างกิจกรรมกับครอบครัว  ใครไปเที่ยวแถวโอซาก้าอย่าลืมแวะไปให้ได้นะคะ สวยสมฉายาแห่งดวงดาวแน่นอนค่ะการเดินทางนั่งรถไฟ Keihan สาย Katanosen มาลงที่สถานี Kisaichi แล้วเดินทะลุเส้นทางเดินป่าเข้ามาอีกประมาณ 40 นาที– รถไฟ JR สาย Gakkentoshisen มาลงที่สถานี Hoshida Station แล้วเดินทะลุเส้นทางเดินป่าเข้ามาอีกประมาณ 70 นาทีสถานที่แห่งนี้เปิดเข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ

สวนลิงจิโกคุดานิ ประเทศญี่ปุ่น

สวนลิงจิโกคุดานิ ประเทศญี่ปุ่น

4

  เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ สวนลิงจิโกคุดานิ หุบเขาอันเงียบสงบทางตอนเหนือของจังหวัดนะงะโนะ อีกหนึ่งที่เที่ยวที่น่าสนใจ จิโกะคุดานิ ยะเอ็น โคเอ็น (สวนลิงหิมะ) เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของลิงกังญี่ปุ่น ไฮไลท์ของสวนแห่งนี้ คุณสามารถเข้าชมลิงกังญี่ปุ่นได้อย่างใกล้ชิด สัมผัสธรรมชาติได้อย่างน่าตื่นเต้น  ในช่วงฤดูหนาว ฝูงลิงกังจะลงมาแช่ตัวตัวที่บ่อนำ้พุร้อนเพื่อรับไออุ่น นักท่องเที่ยวจะได้เห็นและสังเกตพฤติกรรมของลิงกังรอบๆ บ่อน้ำ ลิงกังเหล่านี้ชอบแช่นำ้พุร้อน สถานที่แห่งนี้แทบจะเป็นที่อยู่หลักของลิงกังเลยก็ว่าได้ ลิงกังญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่าลิงหิมะ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในกลุ่มไพรเมทที่ไม่ใช่มนุษย์ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ทางเหนือสุดของโลก ปกติพวกลิงเหล่านี้จะลงแช่นำ้พุตลอดทั้งปี แต่ฤดูที่น่าเที่ยวที่สุดคือฤดูหนาว ฝูงลิงนับร้อยจะลงแช่นำ้พุเยอะมากในฤดูหนาว เมื่อไปสถานที่แห่งนี้ ควรมีข้อปฏิบัติตัวควรรู้ด้วยนะคะ อย่าให้อาหาร แตะต้องจับตัวลิง หรือขู่ลิง อย่าจ้องหรือมองเข้าไปในดวงตาของลิง เพราะอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความก้าวร้าว อย่าเข้าไปใกล้เกินไป และไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณทำ อย่าเข้าไปรวมกับพวกเขาในบ่อแช่น้ำเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้ลิงเหล่านั้นหงุดหงิดและเผลอทำร้ายคุณได้ พฤติกรรม และการเลี้ยงลูกของลิงกัง ลิงเหล่านี้มีชีวิตในแบบของตัวเอง และมาแช่น้ำเมื่อพวกมันต้องการ พวกมันยังคุ้นเคยกับการมีมนุษย์รายล้อมอยู่ด้วย ดังนั้นคุณสามารถถ่ายรูปเก็บบรรยากาศได้ ลูกลิงกังจะน่ารักมากซุกซนตามประสา ยังไม่มีนิสัยดุร้าย แต่ก็ไม่ควรไปจับพวกมัน เดี๋ยวแม่มันจะวิ่งมาทำร้ายคุณได้ หุบเขาแห่งนี้อยู่ภายใต้หิมะหนาประมาณหนึ่งในสามของปี มีสภาพแวดล้อมที่ขรุขระ และการเคลื่อนไหวของพลังงานความร้อนใต้พิภพทำให้มันมีลักษณะคล้ายกับนรก ป่าและภูเขาที่ล้อมรอบอยู่นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของลิงหลายกลุ่มจำนวนมาก หลายร้อยตัว และสวนแห่งนี้ยังมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ลิงอยู่แต่ภายในพื้นที่และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอีกอย่างที่พวกมันชอบทำ นั่นคือการขโมยของ จากที่ดินเพาะปลูกที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าหน้าที่ให้อาหารลิงทุกวัน นับตั้งแต่สวนเปิดทำการ พวกมันอาศัยอยู่ในภูเขารอบๆ แต่จะลงมากินอาหารที่เจ้าหน้าที่จัดจุดเตรียมให้ สวนลิงแห่งนี้ตั้งอยู่บนของหุบเขา จึงต้องเดินเท้าจากบริเวณเชิงเขาด้านล่างลัดเลาะไปตามทางเดินประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงในแบบที่ค่อยๆ เดินชมวิวไปเรื่อยๆ การเตรียมตัวให้พร้อมนั้นสำคัญมาก นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมเสื้อผ้า รองเท้าสำหรับใส่เดินบนหิมะ ถุงมือ ที่ปิดหู หมวก และเครื่องกันหนาวต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและสภาพร่างกายของตนเอง และสามารถเที่ยวชมบรรยากาศสองข้างทางได้อย่างมีความสุข

สวนกวางนารา

สวนกวางนารา

3

  สวนกวางนารา เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดังมากๆของเมืองนารา สวนแห่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองนาราเลย หรือจังหวัดนารา ( Nara Prefecture ) ประเทศญี่ปุ่น สวนแห่งนี้มีขนาดใหญ่และกว้างมาก พื้นที่โดยรวมราวๆ  3,130 ไร่ เลย ถือว่าใหญ่มากๆ ภายในสวนแห่งนี้มีกวางเป็นจำนวนมากราวๆ 1300 ตัวเลยก็ว่าได้ เพราะเหตุนี้กวางจึงเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนาราไปแล้ว ภายในเปิดให้เข้าชมน้องกวางแบบถึงเนื้อถึงตัวน้องกวางเลย เพราะน้องๆถูกปล่อยเลี้ยงแบบอิสระ น้องกวางที่นี้มีนิสัยน่ารักไม่ดุร้ายเลยเป็นมิตรสุดๆ ทำให้คนที่ไปเที่ยวอดใจไม่ไหวที่จะรักและเอ็นดูน้องๆ กวางบ้างตัวอ่อนโยนแสนรู้มากอีกด้วย น้องๆกวางแห่งนี้คุ้นเคยกับผู้คนเป็นอย่างมาก น้องๆเชื่องแสนรู้ถึงกับโค้งคำนับเพื่อขออาหารจากเราอีกด้วย เวลาเราไปสวนสัตว์อาหารหลักก็คงนึกถึงผักผลไม้ใช่ไหมละ แต่น้องๆที่นี่เขาไม่ธรรมดานะบอกเลย น้องๆกวางทั้งหลายเขามีอาหารที่โปรดปรานมากนั้นก็คือ ขนมเซนเบ้ นั้นเอง โปรดปรานถึงขนาดที่ว่าถ้าใครที่ไปเที่ยวชมน้องๆแล้วถือขนมเซนเบ้ไปด้วย น้องๆบางตัวอาจจะแสดงกริยาที่ไม่น่ารักบ้าง เช่น วิ่งเข้าหามากเกินไป ดึงเสื้อ กระเป๋า กันเลย แต่อย่าพึ่งดุว่าน้องๆเลยนะคะ น้องๆคงอยากกินมากเกินไป ประหนึ่งเจอของโปรดแล้วห้ามใจไม่ไหว ภายในสวนกวางแห่งนี้ก็มีร้านขายขนมเซนเบ้อยู่รอบๆเยอะแยะมากมายรอผู้คนใจดีมาซื้อเลี้ยงน้องๆกวางอยู่นะคะ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีเด็กๆมาชมความน่ารักของน้องกวางเยอะเป็นพิเศษ ทำให้สวนกวางแห่งนี้คึกคัก ร่าเริง บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยอย่างยิ่ง ภายในสวนยังมีต้นไม้ใหญ่อย่างต้นเมเปิ้ลไว้คอยให้ร่มเงา และต้นซากุระไว้ให้เก็บภาพ ถ่ายรูปคู่กับน้องกวาง สวยๆไว้เป็นที่ระลึก สวนแห่งนี้เปิดบริการทุกวัน 24 ชั่วโมงนะคะ และสถานที่บริเวณโดยรอบยังมีสถานที่อื่นๆอีกมากมายที่อยู่ใกล้เคียงให้ได้เที่ยวชมกันต่อ อย่าง วัดโทไดจิ ศาลเจ้าคาสุกะ โคฟุคุจิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเมืองนารา มีร้านอาหารประจำของถิ่นเยอะแยะมากมายให้แวะไปชิมความอร่อยอีกด้วย ใครไปญี่ปุ่นลองไปเที่ยวดูนะคะ รับรองว่าจะได้ความประทับใจไว้เป็นความทรงจำดีๆแน่นอนค่ะ

ศาลเจ้าเทพจิ้งจอกอินาริ

ศาลเจ้าเทพจิ้งจอกอินาริ

4

  เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยว ที่มีความสำคัญและประวัติยาวนานพอสมควร ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มาก ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก หรือราวๆพันกว่าปีมาแล้วค่ะ ชาวญี่ปุ่นท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ภายในศาลเจ้าแห่งมีสีแดงเป็นหลัก มีเสาสีแดงขนาดใหญ่อยู่ประตูทางเข้า เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนที่ไปเยี่ยมชมต้องใช้เป็นแลนด์มาร์คถ่ายรูป จุดหน้าสนใจก็มีหลายจุด โดยเฉพาะทางเดินจะมีเสาสีแดงเรียงตามทางเดินไปเรื่อย สร้างความแปลกใหม่ให้ผู้คนที่พบเห็น ภายในยังมีแผ่นไม้ไว้ใช้สำหรับวาดหน้าตาจิ้งจอก แล้วเอามาห้อยรวมกันเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเลย ผู้คนก็จะวาดหน้าตาจิ้งจอกออกมาตามจินตนาการของใครของมัน มีเอกลักษณ์ศิลปะสุดๆ และขาดไม่ได้ก็จะเป็น โดยรอบบริเวณศาลเจ้าจะมีรูปปั้น และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกมากมาย มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ตัวใหญ่เยอะแยะนับไม่ถ้วน เพราะชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อนเชื่อกันว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์นำสาส์นของเทพเจ้าอินาริ คอยอวยพรให้พื้นที่ในบริเวณนั้น มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าว ปลูกพืช ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ เป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวข้าวและเกษตรกรรม การเดินเข้าศาล พอผ่านประตูโทริ ให้โค้งคำนับหน้าประตูทางเข้า 1 ครั้ง และให้เดินโดยชิดข้างใดข้างหนึ่งไม่ซ้ายก็ขวา เพราะตรงกลางคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นทางเดินของเทพเจ้า ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องและความเชื่อมาก ศาลเจ้าจิ้งจอกอินาริ ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีมานมนาน ทำให้ศาลเจ้าอินารินั้นมีมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นเลยนะ   ภายในศาลเจ้าก็ยังมีร้านค้า ขายอาหาร โดยอาหารแต่ละอย่างก็ได้สร้างชื่อให้ข้องจองกับศาลเจ้า เช่น ซูชิจิ้งจอก ของทอดจิ้งจอก ของกินที่ลงท้ายด้วยจิ้งจอก เพื่อความศิริมงคลนั้นเอง อีกทั้งยังมีร้านของฝาก ร้านเครื่องดื่ม ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนไปเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย บริเวณรอบๆศาลเจ้าก็จะมีศาลอื่นๆอยู่ใกล้บริเวณนั้นอีกมาก   เวลาปิด-เปิด เปิด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ เข้าเที่ยวชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย การเดินทาง  อยู่ด้านหน้าสถานีอินาริ ในสาย JR นาราไลน์ หรือจะเดินจากสถานีรถไฟ ฟูชิมิ อินาริ ของสายรถไฟเคฮังก็ได้ค่ะ

วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)

4

  สวัสดีค่ะวันนี้แอด จะพาทำความรู้จักกับวัดดังแห่งหนึ่งที่เกียวโตกัน ว่าที่วัดแห่งนี้เขามีอะไรเด็ดทำไมผู้คนถึงนิยมไปกันนักนะ วัดคิโยมิสึเดระ หรือที่เรียกกันว่าวัดนำ้ใส เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งเมืองเกียวโต เป็นวัดพุทธศาสนาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,200 ปี ตั้งอยู่บนเขาโอโตวะ ทางตะวันออกของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นในยุคเฮอังเกียวตอนต้นหรือสร้างขึ้นมาก่อนที่เกียวโตจะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 778 โดยตระกูลโตกุกาว่า วัดแห่งนี้สร้างด้วยไม้เกือบทั้งหมด และตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อาคารต่างๆ ของวัดได้รับความเสียหายจากเหตุไฟไหม้หลายครั้ง และในปัจจุบันส่วนใหญ่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ปี 1631-1633 นั้นเอง ทางส่วนของประตูนิโอะมอน เป็นซุ้มประตูทางเข้าหลักของวัดน้ำใส ที่เคยถูกไฟไหม้ไปในช่วงสมัยสงครามในศตววรรษที่ 14 และได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งประตูได้ถูกรื้อออกและมีการตกแต่งใหม่สวยงามมากขึ้น ลักษณะโครงสร้างของประตูมีโครงสร้าง 2 ชั้น ขนาด 5×10 เมตร และมีความสูงประมาณ 14 เมตร หากเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วก็จะพบกับ เจดีย์สีแดง หรือเรียกว่า เจดีย์ซันจุโนโตะ เป็นเจดีย์ 3 ชั้นขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในวัด เป็นหนึ่งในเจดีย์ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงถึง 31 เมตร โครงสร้างในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1633 โดยมีกระเบื้องโอะนิงะวะระ เป็นกระเบื้องรูปยักษ์ที่ประดับหลังคาอยู่บนมุมทั้งสี่ของหลังคา หากสังเกตจะเห็นว่ามีกระเบื้องรูปมังกรหนึ่งตัว ที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ โดยกระเบื้องมังกรนี้ได้มีความเชื่อว่าเป็นเทพเจ้ามังกรที่ช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้าย และอันตรายจากอัคคีภัยอีกด้วย ภายในมี ศาลาซุยกุโด สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1718 ซึ่งในศาลามีภาพที่สำคัญเป็นภาพของพระโพธิสัตว์ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Daizuigu ที่คอยรับฟังความปรารถนาและแรงบันดาลใจของทุกคน   ภายในวัดแห่งนี้ยังมีจุดสำคัญและไฮไลท์อื่นอีกมากมาย เช่นนำ้ตกโอโตวะ ชื่อวัดคิโยมิซูเดระ แปลว่า น้ำใส ก็คือมาจากน้ำตกโอโตวะ โอโตวะ ก็คือมีสายน้ำทั้ง 3 สายไหลลงมายังบ่อน้ำ ซึ่งจะอยู่ด้านล่างของศาลาวัด ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าหากใครที่ดื่มน้ำจากที่วัดแห่งนี้จะสมปรารถนาในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้นั้นเอง สายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการเรียน และการศึกษา สายที่ 2 จะสมหวังในเรื่องของความรัก สายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรงทำให้มีอายุที่ยืนยาว   นอกจากดื่มน้ำขอพรกันแล้ว ยังร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนม และร้านเครื่องดื่มมากมายเลย ค่าเข้าชมวัด ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน เปิดทุกวันเวลา 06:00 – 18:00 บางช่วงจะมีเปิดรอบกลางคืน ตั้งแต่เวลา 18:00 – 21:30 วิธีการเดินทาง สถานีใกล้เคียง คือ Kiyomizu-Gojo (รถไฟสาย Keihan Main Line) ใช้เวลาเดินประมาณ 25 นาทีจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Tofukuji แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo

วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง ( KInkakuji )

วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง ( KInkakuji )

3

  วัดคินคะคุจิหรือวัดทองเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น ไฮไลท์เด่นของสถานที่แห่งนี้คือเรือนไม้สีทองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมนำ้ ให้ความสวยสง่างาม สวยกดสะดุดตามาก เห็นสวยงามขนาดนี้รู้ไหมค่ะว่าวัดแห่งนี้เคยถูกเผาทำลายมาแล้ว ในช่วงสงครามโอนิน (Onin ) ในปี ค.ศ. 1950 นานมาแล้ว ที่เห็นสีทองเหลืองอร่ามงามตาขนาดนี้เพราะถูกก่อสร้างบูรณะวัดขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1955 ฉะนั้นเมื่อมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น อีกจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวที่เคยไปสัมผัสพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าสวยมาก ก็คือเงาสะท้อนของตัวเรือนสีทอง เมื่อเงากระทบกับผิวนำ้ ภาพที่เห็นนั้นสวยจนใครๆต้องไปดูเองกับตา ดั่งคำว่าสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็นนั้นเอง ภายในตัวเรือนถูกสร้างให้ออกมาเป็นสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ทำจากไม้แทบจะทั้งหมด ด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามล้ำค่านี่เองจึงทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรกดโลกในปี ค.ศ. 1994 วัดคินคะคุจิหรือวัดทองนี้ ในแต่ละฤดูสถานที่แห่งนี้จะให้ความสวยที่แตกต่างกันออกไป   ในฤดูใบไม้ผลิ ก็คงต้องมีดอกซากุระ ออกดอกเบ่งบานเต็ม เรียงรายรอบๆตัวเรือนสีทองหลังนี้ ให้บรรยากาศดอกซากุระสีสวยอมชมพูดูสดใส ถ้าฤดูหนาว หิมะก็จะตกโปรยปรายสวยมีเสน่ห์เหมือนต้องมนต์ หลุดลอยเข้าไปในซีรีส์ก็ว่าได้ ส่วนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ท่ามกลางวัดทองแห่งนี้เรียงรายเต็มไปด้วยใบไม้สลับสี ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีส้ม สีแดง สีเหลือง ให้บรรยากาศญี่ปุ่นย้อนยุคสวยครบจริงๆ เพราะความสวยตราตรึงขนาดนี้เลยดึงดูดนักท่องไปสัมผัสเป็นอย่างมาก การเข้าชม มีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นประถมศึกษา จะอยู่ที่ 300 เยน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  9:00-17:00 ค่ะ  การเดินทางเฉพาะรถบัส: เดิน 3 นาที จากป้ายรถบัส Kinkakuji-mae bus stop [รถบัสสาย 12, 59]เดิน 5-10 นาทีจากป้ายรถบัส Kinkakuji-michi [รถบัสสาย 101, 205]

ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่น

ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่น

3

  เมื่อพูดถึงฝนแล้ว แอดก็ไม่ได้ชอบฤดูนี้เท่าไร เพราะรู้สึกเฉอะแฉะและท้องฟ้าก็ไม่สดใส เมื่อเทียบกับฤดูอื่นในประเทศญี่ปุ่นแล้ว การแต่งตัวในฤดูฝนก็นับว่ายากมาก เพราะอากาศไม่ได้เย็นขนาดจะใส่เสื้อผ้าหนาๆ และก็ไม่ร้อนขนาดจะใส่เสื้อผ้าที่บาง บางครั้งในตอนเช้าอากาศดี แต่พอตกบ่ายก็ฝนตกหนักและก็อากาศเย็นขึ้น จะนัดหมายกับใครก็ลำบากเพราะฝนอาจจะตกหนักถึง 90% ทำให้ลำบากมากค่ะ แต่อย่างไรความมีเสน่ห์ของหน้าฝนก็มีนะคะ รู้ไหมว่าญี่ปุ่นก็มีฤดูฝนเหมือนกัน คือ ช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ฝนจะตกแตกต่างเล็กน้อยแต่ละพื้นที่ ช่วงที่มีฝนตกเยอะในญี่ปุ่น ถ้ามาเที่ยวช่วงนี้จะไปไหนดี มีอะไรเด็ดๆ ไหม หรือแต่งตัวอย่างไรไปดูกัน ฤดูฝน ที่ญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า สึยุ ที่จริงแล้วจะไม่นับเป็นฤดูของประเทศญี่ปุ่นที่มี 4 ฤดูคือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แต่จะใช้เรียกช่วงที่มีฝนตกบ่อยเป็นพิเศษคือช่วง ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศที่สามารถพบได้ทั้งในญี่ปุ่น จีนตอนใต้ เกาหลี ที่จะมีฝนตกมาก แต่ถึงอย่างไรใครที่จะมาเที่ยวในช่วงฤดูฝน ก็มีข้อดีอยู่บ้างเช่น ที่พักถูกลง ค่าตั๋วเครื่องบินก็ถูกลง เช่นกัน และสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวหน้าฝนได้ก็ยังมีอีกเยอะแยะมากมายมากมาย ในช่วงฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่นจะมี อุณหภูมิสูงสุดของเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส ต่ำสุดที่ 19 องศาเซลเซียส ในวันที่อากาศแจ่มใสอาจรู้สึกร้อนนิดหน่อย และวันที่มีฝนจะทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยได้ ในช่วงฤดูฝนนั้นฝนอาจตกเรื่อยๆ ต่อเนื่องกันทั้งวัน อากาศจึงมีความชื้นสูง ตอนกลางวันเราสามารถใส่เสื้อแขนสั้นได้สบายๆ แต่แนะนำให้เตรียมแจ็คเก็ตบางๆ หรือคาร์ดิแกนสักตัวเอาไว้สำหรับตอนฝนตกหรือเวลากลางคืนที่อากาศจะเย็นลง และอย่าลืมที่จะพกร่มซักคัน ไว้ยามฉุกเฉิน เพราะสภาพอากาศช่วงนี้ไม่แน่นอน จากอากาศแจ่มใส แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมาฝนอาจตกอย่างรุนแรงก็ได้ สถานที่ควรนัดหมายควรนัดกันตามคาเฟ่ หรือร้านอาหารก็จะดีมาก งดนัดบริเวณกลางแจ้ง เพื่อให้การนัดครั้งนั้นผ่านไปด้วยดี ช่วงฤดูฝนชาวญี่ปุ่นจะคึกคักและเที่ยวห้างสรรพสินค้ามากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าตามร้านคาเฟ่เองก็เช่นกัน และไม่ว่าฤดูไหนก็ล้วนมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่เราคิดการนั่งในคาเฟ่ กินเค้กชากาแฟในยามฝนตกก็ให้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ หรือจะกินปิ้งย่างร้อนๆ ก็เข้ากับบรรยากาศหน้าฝนได้ดี สรุปง่ายๆ ฤดูฝนที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถเที่ยวได้เหมือนฤดูอื่นๆค่ะ

รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่น

รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่น

4

 ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ก็ควรรู้จักวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นไว้สักหน่อย จะได้กลมกลืนและไม่ขายหน้าเรานั่นเอง ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยที่มักจะหาโอกาสไปท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น เราควรเรียนรู้วัฒนธรรมที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้เราเที่ยวได้อย่างสนุกเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรผิดให้ต้องอายได้ เช่น 1  การคุยโทรศัพท์  จริงๆแล้ววัฒนธรรมญี่ปุ่น ห้ามคุยโทรศัพท์ในร้านร้านอาหาร หรือบนรถไฟรถเมล์ หรือถ้าหากจำเป็นจริงๆให้พูดสั้นๆ และรีบวางสาย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนรอบข้าง หากนั่งรถไฟ อาจไปคุยที่ตรงข้อต่อขบวนหรือจุดที่จัดไว้ อย่าลืมปิดเสียงไลน์หรือเสียงเตือนข้อความ ถ้าเล่นเกมในโทรศัพท์ก็ควรใส่หูฟังด้วยนะคะ2  ตรงต่อเวลา  วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวลามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง รถไฟ รถบัส ก็จะมาถึงตรงเวลาเป๊ะๆ เพื่อนๆ สามารถจัดการเวลาในการเดินทางได้สบายใจ หรือถ้ามีนัดกับชาวญี่ปุ่นล่ะก็ อย่าเลทเป็นอันขาดนะคะ เพราะจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทและไม่ให้เกียรติค่ะ3  ขึ้นบันไดเลื่อน  การขึ้นลงบันไดเลื่อนตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะยืนชิดซ้ายหรือชิดขวาไปแล้วแต่ธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละท้องถิ่นค่ะ และจะไม่ยืนอยู่ตรงกลางบันไดนะคะ เพราะถือเป็นการเกะกะผู้อื่น ที่เร่งรีบ ดังนั้นถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วต้องใช้บันไดเลื่อน อย่าลืมสังเกตคนด้านหน้าว่ายืนกันฝั่งซ้ายหรือขวา และหลีกเลี่ยงไม่ยืนขวางทางหรือตรงกลางของบันไดเลื่อน4  เก็บหรือจับดอกซากุระ  วัฒนธรรมญี่ปุ่นสุดคลาสสิกเมื่อนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมซากุระ คือ “ห้ามแตะต้องต้นซากุระ” เด็ดขาดนะคะ ข้อนี้ถือเป็นกฎสำคัญที่ซีเรียสเลยค่ะ เพราะการที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างจับ หรือเด็ดดอกซากุระนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ต้นซากุระบอบช้ำ และเฉาตายได้5  ส่งเสียงความอร่อย  เราส่งเสียงดังได้ในขณะรับประทานอาหารค่ะ ถือเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยทีเดียวที่ถือว่าการกินเสียงดัง หมายถึง อาหารนั้นอร่อยค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเพื่อน ๆ ซดน้ำซุปเสียงดัง ๆ พนักงานในร้านยิ่งปลื้มปริ่มว่านั่นคือการส่งเสียงความอร่อยให้ร้านได้ยินนั่นเอง6  การใช้ตะเกียบ  ห้ามปักตะเกียบลงในแนวดิ่งไปในถ้วยข้าวนะคะ เพราะจะคล้ายกับการปักธูปไหว้ศพ และห้ามส่งอาหารจากตะเกียบสู่ตะเกียบ เพราะว่าคนญี่ปุ่นจะใช้ตะเกียบคีบกระดูกที่เผา แล้วส่งต่อๆ กันตอนทำพิธีเก็บกระดูกเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการจะตักอาหารให้กัน ก็ควรคีบแล้ววางไว้ในจานของเพื่อนไปเลยค่ะ7  รอยสักกับการแช่ออนเซ็น  หากใครมีรอยสักแล้วจะเข้าไปอาบน้ำพุร้อนออนเซ็น อย่าลืมเช็คดีๆ นะคะว่าออนเซ็นแห่งนั้น เขาห้ามคนมีรอยสักเข้าใช้หรือเปล่า เพราะที่ญี่ปุ่นมีออนเซ็นหลายแห่งไม่อนุญาตให้คนมีรอยสักใช้บ่อน้ำพุร้อนนะคะ 8  แอบถ่ายรูปผู้อื่น  คำเตือนสำหรับหนุ่ม ๆ ห้ามแอบถ่ายรูปสาว ๆ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะแบบเข้าประชิดตัวเกินไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมญี่ปุ่นทั่วไปแต่ทางญี่ปุ่นมีกฎหมาย พรบ.สิทธิส่วนบุคคล ห้ามแอบถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะ แต่หากจะถ่ายแบบวิวกว้าง ๆ แล้วมีสาว ๆ ติดอยู่ในภาพวิวนั้นโดยไม่ได้เจาะจง ก็ถือว่าทำได้ไม่มีปัญหาค่ะ9  เข้าคนแรก ปิด-เปิด ลิฟต์  เวลาโดยสารลิฟต์ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้ามาในลิฟต์ และกดให้คนอื่น ๆ ออกจากลิฟต์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน เรื่องนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวนะคะ แต่ให้นึกไว้เสมอว่าหากคุณเป็นคนแรกที่เข้าลิฟต์ที่ญี่ปุ่นล่ะก็ คุณคือคนที่ต้องกดปิด-เปิดประตูลิฟต์ให้คนอื่นตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ10  ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องให้ทิป  เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มเติมนะคะ เป็นอีกเรื่องที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ ชาติทำเป็นปกติ แต่ไม่ใช่กับชาวญี่ปุ่นค่ะ เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะถือเรื่องการบริการที่ทำด้วยใจ ดังนั้นพนักงานในญี่ปุ่นจะไม่รับทิปนะคะ หรือถ้าคุณวางเงินไว้บนโต๊ะ พนักงานก็อาจจะวิ่งตามนำเงินมาคืนคุณอีกด้วยค่ะ   และนี่ก็เป็นเพียง บางสิ่งในพฤติกรรมที่ไม่ควรปฏิบัติ ในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเราจะได้เคารพวัฒนธรรมของเขาด้วย นะคะ