เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี นครใต้ดินไคมัคลี ประเทศตุรกี เมืองใต้ที่ใหญ่ที่สุด และมีอายุกว่า 4 พันปี

เที่ยวตุรกี นครใต้ดินไคมัคลี ประเทศตุรกี เมืองใต้ที่ใหญ่ที่สุด และมีอายุกว่า 4 พันปี

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี นครใต้ดินไคมัคลี ประเทศตุรกี เมืองใต้ที่ใหญ่ที่สุด และมีอายุกว่า 4 พันปี

คัปปาโดเกีย แปลว่า The Land of Beautiful Hourses ดินแดนแห่งอาชาที่แสนงามสง่า ในภาษาเปอร์เชียนโบราณ นับพันปีก่อน คัปปาโดเกียมีฟาร์มม้ามากมาย และส่งให้แก่กองทัพเปอร์เชีย ซึ่งเรียกดินแดนแถบนี้ว่า คัท พัท ทุ คะ เมื่อชาวเติร์กเข้ามายึดครองต่อมา จึงยังคงใช้คำเดิมซึ่งนั่นก็คือ คัปปาโดเกีย และออกเสียงในภาษาอังกฤษว่า คัปปาโดเชีย และแม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีฟาร์มม้าอยู่ในเมืองนี้ค่ะ คัปปาโดเกีย แยกเป็น 2 ภาค เหนือ และใต้ ณ ตอนนี้เราอยู่ทางเหนือ ถึงมีไร่มากมาย มีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Open Air Museum มีโบสถ์ และเรากำลังมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ ซึ่งมี Underground City นครใต้ดินซึ่งมีประมาณ 40 เมืองทางใต้แห่งนี้ และเราจะไปยัง Kaymakli Underground City ซึ่งเป็นหนึ่งในนครใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในคัปปาโดเกีย ทั้งหมดของเมืออยู่ใต้ดิน ดังนั้นมีข้อพึงระวังคือ หากใครมีปัญหาข้อเข่า อาจจะไม่เหมาะกับการลงไปเยี่ยมชม เพราะมีช่วงที่เราต้องเดินย่อตัวไปตามอุโมงค์แคบๆ ทางยาวประมาณ 20-25 เมตร หรือเป็นคนกลัวที่แคบ ก็ไม่แนะนำค่ะ

วันที่หนึ่ง - นครใต้ดินไคมัคลี

นครใต้ดินไคมัคลี สร้างมาวันที่เท่าไหร่ ไม่ทราบได้แน่ชัด แต่รู้แน่ว่า มีคนอาศัยอยู่เมืองใต้ดินนี้ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล นั่นหมายถึงกว่า 4,000 ปีก่อน ว้าวววว! ผู้คนย้ายลงอาศัยในถ้ำใต้ดิน เผื่อเหตุผลของเรื่องความปลอดภัย หากมีศัตรูบุกเข้ามาทำร้าย แต่โดยปกติก็อาศัยอยู่บนดิน โดยการหลบลงไปอยู่ใต้ดินเป็นการซ่อนตัวที่ดีที่สุด ซึ่งการลงไปอยู่ใต้ดิน ไม่ออกมาเห็นแสงตะวันเลยนั้นนานถึง 6 เดือนถึงหนึ่งปี นับเป็นสิ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียว บริเวณนี้มีเมืองใต้ดินอยู่หลายแห่ง บางแห่งมีอุโมงค์ลับเชื่อมถึงกัน หากศัตรูค้นพบเมืองใต้ดินแห่งนึง ผู้คนก็จะหลบหนีไปอีกเมืองใต้ดินด้วยอุโมงค์ลับนี้เอง

วันที่สอง - ผู้คนสมัยก่อนขุดสร้างนครใต้ดินนี้ได้อย่างไร?

ผู้คนสมัยก่อนขุดสร้างนครใต้ดินนี้ได้อย่างไร เราดูไปพื้นดินรอบๆ จะเห็นสีที่แตกต่างมีทั้งดินที่ดูเหลือง และแดง เหตุเพราะว่ามีภูเขาไฟที่ยังระอุ 3 ลูกล้อมรอบคัปปาโดเกียเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม ซึ่งการระอุเกิดขึ้นเมื่อ 3 ล้านปีก่อน ดังนั้นเมื่อเกิดการระเบิด เถ้าภูเขาไฟ (ทูฟา Tufa) จึงปกคลุมเมืองคัปปาโดเกีย เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นล้านปี เถ้าเหล่านี้ปกคลุมเป็นชั้นที่หนา และแข็ง สถานะเป็นหินตะกอน ที่มีความไม่แข็งมาก ผู้คนจึงสามารถขุดเจาะลงไปสร้างเมืองได้โดยง่าย แต่หินนี้ก็แข็งแรงพอที่จะสร้างบ้านใต้ดิน เราจึงเห็นบ้านถ้ำ เมืองถ้ำได้ในบริเวณนี้เมื่อมีลมพัด ฝกตก หิมะตก ก็ได้เซาะหินเหล่านี้ทุกปีนับร้อยๆ ปี จนรูปร่างหินเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้บริเวณนี้เป็นดินแดนที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่เราจะเห็นหินที่มีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย และทั้งหมดรังสรรค์ขึ้นโดยธรรมชาติ
จนปัจจุบันในบางหมู่บ้าน เราก็ยังคงเห็นบ้านที่ บางส่วนนั้นเค้าขุดถ้ำเข้าไป บางส่วนของบ้านก็อยู่นอกถ้ำ เพราะว่าการอาศัยอยู่ในถ้ำจะทำให้อบอุ่นยามฤดูหนาว และยามที่ร้อนมหาศาลในฤดูร้อนบ้านถ้ำจะทำให้เย็นสบาย ฟังดูช่างหน้าอยู่เสียจริง แต่รัฐบาลได้อนุรักษ์บ้านถ้ำในคัปปาโดเกีย และไม่อนุญาตให้สร้างเพิ่ม แต่อนุญาตให้อยู่อาศัย แถมห้ามสร้างเพิ่มหรือต่อเติมด้วยค่ะ  ธุรกิจหลักของเมืองคัปปาโดเกีย คือการท่องเที่ยว รวมทั้งการเกษตร จะเห็นฟาร์ม หรือไร่ผลไม้มากมาย เช่น ไร่แอปปริคอต ไร่องุ่นก็เป็นหนึ่งในธุรกิจยอดฮิต และไวน์คัปปาโดเกียก็มีชื่อเสียงทั้งไวน์แดง และไวน์ขาว

วันที่สาม - การเข้าชมนครใต้ดินไคมัคลี Kaymakli Underground City

นครใต้ดินไคมัคลี Kaymakli Underground City ในการเข้าชมเราต้องเข้าด้วยกันเป็นหมู่คณะ ไม่สามารถแยกได้ เพราะอาจมีอันตราย ด้านในเป็นวันเวย์ และมีกรุ๊ปที่เยี่ยมชมต่อๆ กัน มีนครใต้ดินหลายแห่งในตอนใต้ของคัปปาโดเกีย ไคมัคลี คือหนึ่งในนครใต้ดินที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเราเข้าไปถึงภายใน ชั้นแรกเป็นชั้นบนสุด ซึ่งจัดไว้เป็นห้องเก็บสัตว์เพราะสามารถเก็บกวาดทำความสะอาดง่าย และเรื่องของกลิ่น จากจุดนี้เราจะเดินลึกลงไปเรื่อยๆ และถ้าหากว่าเราหลงจากกรุ๊ป เราก็สามารถสังเกตลูกศรสีแดงซึ่งแสดงทางเดินที่เราจะไป และลูกศรน้ำเงินซึ่งบอกทางออกและกลับมาที่จุดเดิมนี้ ไปค่ะ เราจะเดินตามลูกศรแดงลงนครใต้ดินด้วยกันค่ะ 

วันที่สี่ - ห้องที่ใช้เป็นโบสถ์

เมื่อเราสัมผัสกำแพง เราจะรู้สึกถึงผงฝุ่น นุ่มมือ เพราะถ้ำเหล่านี้เป็นหินตะกอนจากเถ้าภูเขาไฟ นครใต้ดินใหญ่แห่งนี้มีห้องอยู่มากมาย และตอนนี้เราเข้ามาถึงห้องที่ใช้เป็นโบสถ์ แต่ดั้งเดิมเมื่อนับพันปีก่อนคริสตกาล เค้าใช้เป็นห้องนั่งเล่น แต่เมื่อถึงในศตวรรษที่ 4 หลังพระเยซูกำเนิด และศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาต้องห้ามในสมัยโรมัน จึงต้องหลบซ่อนจากทหารโรมัน เมื่อตอนที่เค้าค้นพบนครใต้ดิน เค้าจึงใช้ห้องนี้เป็นโบสถ์ และในช่วงนั้นก็มีโบสถ์ซ่อนอยู่หลายแห่งในคัปปาโดเกีย เราจะเห็นรูปไม้กางเขนสลักอยู่ที่กำแพง และเห็นร่องรอยของเขม่าควันเทียน และน้ำมันหยดจากเทียนซึ่งเคยใช้ในการนมัสการแต่ก่อนค่ะห้องต่อไปเป็นห้องเก็บอาหาร แบ่งเป็นช่องเล็กๆ ไว้เก็บอาหาร และมีช่องทางเชื่อมต่อไปสู่ห้องอื่นอีกหลายห้อง และมีหินซึ่งเค้าจะนำไปเสียบลงใช้ในการโม่ข้าวให้เป็นแป้ง และระหว่างห้องใหญ่ๆ จะมีอุโมงค์เชื่อมกัน ซึ่งอุโมงค์จะแคบเล็ก และต้องย่อเข่าให้เตี้ยมากๆ เวลาเดินผ่านไป ซึ่งถ้าคุณเป็นหนุ่มใหญ่ หรือสาวอวบ..มาก ก็ไม่สามารถเข้าเที่ยวนครใต้ดินได้นะคะ

วันที่ห้า - ห้องทำไวน์

แล้วห้องต่อไปที่เราเดินสายย่อเข้าไปคือ ห้องทำไวน์ เค้าจำนำองุ่นใส่ลงไปในพื้นที่เป็นช่องอ่างใหญ่ แล้วคนก็จะลงไปย่ำๆ และมีช่องให้น้ำไหลลงไป เพื่อไปบ่มไว้ให้เป็นไวน์ และอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ นครใต้ดินแห่งนี้ มีทางเข้าหลายทาง และที่เรายืนอยู่ก็เป็นช่องทางดั้งเดิม เห็นเป็นบันไดขึ้นไปด้านบน แต่ได้มีการพังทลายไป ไม่สามารถเดินผ่านขึ้นไปได้ ข้างๆ ทางเข้าเดิมนี้ เราจะเห็นหินกลมแบนใหญ่ ตรงกลางมีรู เพื่อว่าเวลามีศัตรูเข้ามาโดยไม่คาดคิด เค้าจะเอาไม้เสียบเข้าไปที่หินปิดประตู แล้วกลิ้งไปปิดประตู ซึ่งมีหลายด่านประตู เพื่อถ่วงเวลาให้ใช้อุโมงค์ลับไปสู่นครใต้ดินอื่นได้ และแล้วก็มาถึงอุโมงค์แคบที่ยาวที่สุดในนครแห่งนี้ แต่ก่อนไปถึงอุโมงค์นั้น ปากทางจะเป็นทางเดินที่เรามองไปข้างๆ จะเห็นช่องเล็กๆ ที่คนสมัยนั้นนำเหยือกไวน์มาตั้งเก็บไว้ และในอุโมงค์ที่ยาวที่สุดนี้ จะมีช่องเล็กๆ ด้านข้างซ้าย-ขวาไว้ใส่เทียนให้แสงสว่าง และระหว่างทางจะมีช่องลม ซึ่งเราโผล่หัวเข้าไปดูได้ จะเห็นช่องลึกลงด้านล่างไปมากกก และมองขึ้นบน ช่องเล็กๆ นี้ก็เจาะขึ้นไปถึงพื้นดิน นั่นเป็นช่องที่ส่งอากาศให้เมืองทั้งเมือง...จุดที่ผ่านอุโมงค์สายย่อที่ยาวที่สุดมานั้น นับเป็นจุดที่ลึกที่สุดที่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม ผ่านออกมา ก็จะเจอห้องทำไวน์อีกห้องหนึ่ง 
จะมีช่องไว้เทองุ่นลงไป แล้วน้ำองุ่นก็ไหลลงมา เมื่อเอามาใส่ให้เหยือก หรือโถแล้ว ก็นำมาวางเรียงไว้ และใต้ดินนี้ ก็มีห้องทำไวน์มากมาย

วันที่หก - แม่น้ำไหลผ่านนครใต้ดิน

 เพื่อนๆ คงสงสัยใช่มั้ยคะว่า แล้วสุขาล่ะจ้ะ อยู่หนใดหนอ? เค้าสร้างในห้องที่ลึกที่สุด และเนื่องด้วยมีแม่น้ำไหลผ่านนครใต้ดิน เค้าจึงสร้างท่อเชื่อมต่อลงไปที่แม่น้ำได้เลย ส่วนกลิ่นก็จะลอยขึ้นข้างบนตามท่อระบายลม... จากจุดนี้ เราก็จะเริ่มเดินขึ้น และด้านข้างซ้ายขวา เราจะเห็นห้องนั่งเล่นซึ่งมีหลายห้อง เพราะนครใต้ดินแห่งนี้มีคนที่อยู่อาศัยรวมกันถึง ประมาณ 1 หมื่น – หมื่นสองพันคน และบางนครใต้ดินก็มีคนอยู่อาศัยประมาณ  7-8 พันคน นับว่ายิ่งใหญ่มาก และที่เราสามารถเดินลงมาชมได้นั้น คิดเป็นเพียงแค่ 8% ของทั้งนครแห่งนี้
ระหว่างทางเดินขึ้น เราก็เห็นห้องครัว ซึ่งเป็นสาธารณะ ผู้คนจะเข้ามากินอาหารเช้า หรือเย็นร่วมกัน ที่นี่มีช่องที่ไว้ก่อไฟในการปรุงอาหาร เราจะเห็นเขม่าบนเพดานเป็นร่องรอยของการทำอาหาร และมีห้องเก็บอาหาร ผลไม้เชื่อมต่อกับห้องครัว และเราจะเห็นโต๊ะหินใหญ่อยู่หนึ่งก้อน และมีรูหลายรู เค้าเอาไว้ใส่เครื่องเทศ เครื่องปรุงต่างๆ เช่นพริกไทย เกลือ และทางผ่านขึ้นก็ยังคงเห็นห้องพักผ่อนกว้างๆ อีกหลายห้อง และเห็นหินปิดประตู ได้อีกชิ้นใหญ่ ก่อนเดินขึ้นบันไดกลับสู่พื้นดิน
และนอกจากนี้ยังมีร้านรวงขายพรม ผ้าพันคอ และของที่ระลึก ตรงทางเข้านครใต้ดินไคมัคลีแห่งนี้.. เลือกของกันได้ตามสบาย ถ้าให้ดีเปรียบเทียบและต่อรองราคาหน่อยก็ดีนะคะ .... ที่เที่ยวต่อไป จะไปไหนกัน อย่าลืมติดตาม #ตลาดทัวร์

จำนวนผู้เข้าชม 27 ครั้ง