เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี เกอเรเม่ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เมืองคัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี ดินแดนโสถ์ถ้ำล้ำค่าและภาพเฟรสโก

เที่ยวตุรกี เกอเรเม่ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เมืองคัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี ดินแดนโสถ์ถ้ำล้ำค่าและภาพเฟรสโก

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี เกอเรเม่ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เมืองคัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี ดินแดนโสถ์ถ้ำล้ำค่าและภาพเฟรสโก

เรายังคงอยู่ที่เมืองคัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี และวันนี้เป็นบ่ายที่ปลอดโปร่ง และยังคงมีความเย็นสบายแบบนี้ เราอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ Goreme Open Air Museum เมื่อเราเดินเข้ามา เราสามารถเห็นหิมะที่ตกคืนก่อนหน้านี้บนพื้นอยู่เป็นหย่อมๆ ก็อุณหภูมิใกล้ศูนย์น่ะค่ะ หิมะจึงยังคงขาวอยู่รอให้เราได้ถ่ายภาพ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้กว้างใหญ่มากค่ะ มีลักษณะเป็นเนินหุบเขา มีถ้ำที่เรามองเห็นไกลๆ ว่าน่าเข้าไปดูว่าข้างในเป็นอะไรหนอ ประวัติศาสตร์แต่ก่อนมา ผู้คนสร้าง และอยู่ที่นี่อย่างไร.. เราจะไปย้อนรอยอดีตตั้งแต่สมัยโรมัน..ตามมาด้วยกันค่ะ

วันที่หนึ่ง - การทำลายล้างคนที่นับถือศาสนาคลิสต์

ในดินแดนแถบประเทศตุรกีตั้งแต่อดีตที่ผ่านมานั้นจนถึงศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นสมัยอาณาจักรโรมัน จักรพรรดิโรมันองค์ก่อนๆ ก็ได้สั่งให้ทหารฆ่าผู้คนที่เชื่อศาสนาคริสต์ไปมากมาย ทั้งยังสั่งให้ทำลายโบสถ์วิหารต่างๆ ไปมากด้วย เหล่าบรรดาคริสเตียนก็ต้องการหาที่หลบซ่อนจากทหารโรมันเหล่านั้น และภูมิประเทศของเมืองคัปปาโดเกียก็มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะมีภูมิประเทศเป็นหุบเขามากมาย ทำให้ทหารเดาได้ยากว่าจะมีโบสถ์อยู่ในใต้พื้นดิน หรืออยู่ในถ้ำ และมาในคริสตศตวรรษที่ 4 นั่นเอง พระจักรพรรดิโรมันคอนสแตนตินมหาราช พระองค์บัญญัติให้ศาสนาคริสต์ไม่เป็นศาสนาที่ต้องห้ามอีกต่อไป และคืนอิสระให้แก่คริสตชนทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นพระจักรพรรดิพระองค์แรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย

วันที่สอง - ชาวคริสเตียนได้รับอิสรภาพ

เมื่อชาวคริสเตียนได้รับอิสรภาพแล้ว พวกเขาได้สร้างโบสถ์ขึ้นอีกมากมาย โดยที่ไม่ต้องหลบซ่อนใต้ดินอีกต่อไปในบริเวณนี้ เพราะเค้ารักที่จะอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ ดังนั้นเอง...ในพื้นที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ เราจะเห็นตัวอย่างของโบสถ์ที่สำคัญๆ เช่นเขาหินทั้งก้อนนี้นะคะ ก็ถูกสร้างให้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาสำหรับผู้หญิง ชั้นล่างสร้างเป็นห้องครัว ห้องสวดมนต์ และก็เป็นห้องเรียน ส่วนด้านหลังอีกเขา ก็เป็นอีกโรงเรียนสำหรับผู้ชาย 

วันที่สาม - โบสถ์แอปเปิ้ล หรือ Apple Church

ในบริเวณนี้มีโบสถ์ที่น่าสนใจและน่าเยี่ยมชมหลายแห่งทีเดียวค่ะ แห่งแรกนะคะชื่อ โบสถ์แอปเปิ้ล หรือ Apple Church  ทางเข้าจะเป็นเหมือนอุโมงค์เล็กๆ เมื่อเดินผ่านเข้าไปแล้วจะเห็นโบสถ์แอปเปิ้ลอยู่ทางด้านซ้ายมือ (ทางขวาก่อนเดินเลี้ยวเข้าโบสถ์ วิวนั้น ว้าววววมากค่ะ) ภายในโบสถ์นั้นมีรูปภาพเฟรสโก้ ก็คือภาพวาดบนฝาผนังซึ่งเล่าเรื่องชีวิตของพระเยซู ภายในมีเพดานโดมสองโดมด้วยกัน เริ่มแรกเป็นภาพวาดใบหน้าของพระเยซู ได้ทราบว่าชายคนนั้นคือพระเยซูเ พราะมีภาพไม้กางเขนอยู่หลังศีรษะ เพราะถ้าเราเห็นภาพวาดของผู้ชายที่มีไม้กางเขนอยู่ด้านหลังศีรษะชายคนนั้น ในสมัยนั้นจะหมายถึงพระเยซูนั่นเอง และอีกโดมเป็นภาพวาดของเทวดาหรือวัตถุทรงกลม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผลแอปเปิ้ล จึงนำมาตั้งเป็นชื่อโบสถ์ตามภาพวาดที่วาดไว้ ภาพวาดบนฝาผนังในโบสถ์ในบริเวณนี้ใช้เทคนิคการวาด 2 แบบด้วยกัน แบบแรก ศิลปินจะวาดภาพลงไปบนผนังหินนั่นเลย และแบบที่สอง  ศิลปินจะเอาดินเหนียวที่เปียกมาเคลือบบนผนังหินก่อน แล้วจึงวาดสีลงไปบนดินเหนียวนั้น เมื่อดินเหนียวแห้งจะกลืนกับสีลงไปบนผนังหินนั้น 

วันที่สี่ - โบสถ์เซนต์บาราบาร่า St.Barbara Church

ถัดมาจากโบสถ์แอปเปิ้ล คือโบสถ์เซนต์บาราบาร่า St.Barbara Church ก็มีภาพเฟรสโก้ แต่อาจไม่ได้สวยงามเท่าในโบสถ์แอปเปิ้ล ถัดไปด้านบนนะคะ เราจะเจอโบสถ์งู หรือว่า Snake Church สร้างประมาณปี ค.ศ.1000 ในถ้ำหินทูฟา เมื่อเราเดินเข้าไปภายในจะเห็นภาพด้านซ้ายมือเป็นทหาร หรือนักบุญ 2 คนอยู่บนม้ากำลังฆ่างู ซึ่งก็คือเซนต์จอร์จ และเซนต์ธีโอดอ งูที่ถูกฆ่าเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจร้าย และนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งภาพวาด เป็นภาพผู้ชายหนึ่งคน ข้างๆ เป็นหญิงสาวอีกหนึ่งคน เขาทั้งสองกำลังยืนถือไม้กางเขน ซึ่งผู้ชายคนนั้นคือพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ผู้บัญญัติให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนผู้หญิงข้างๆ คือพระนางเฮเลน่า มารดาของพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งมีความเชื่อว่าพระนางเฮเลน่าเป็นผู้ค้นพบไม้กางเขนอันที่พระเยซูเสียชีวิตที่เยรูซาเลม พระนางได้ฝันเห็นหลายต่อหลายครั้ง จึงไปยังเยรูซาเล็ม และได้พบภูเขาเหมือนในฝัน จึงสั่งให้ทหารขุดนำไม้กางเขนขึ้นมา ซึ่งเชื่อว่าเป็นของจริง แม้ว่าไม่มีการพิสูจน์ทางโบราณคดีใดๆ เรื่องราวเล่าว่าทหารขุดเจอไม้กางเขน 3 อัน เพราะในวันนั้นที่พระเยซูถูกตรึง ก็มีชายอีกสองคนถูกตรึงเช่นกัน เค้าจึงพิสูจน์ว่าอันไหนเป็นอันจริงของพระเยซู ด้วยการเอาไปสัมผัสกับหญิงสาวที่ป่วยอยู่ ถ้าเธอหายดีจากการแตะด้วยอันไหน ก็เชื่อได้ว่าอันนั้นเป็นไม้กางเขนที่ตามหา แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวที่เล่ากันในประเด็นนี้นะคะ...เพื่อนๆ ที่สนใจลองเสิร์ชในกูเกิ้ลได้ค่ะ

วันที่ห้า -

Dark Church หรือ โบสถ์แห่งความมืด
เมื่อเราเดินออกมาจากโบสถ์งูแล้ว เราสามารถเดินขึ้นหุบเขาในบริเวณนี้ได้ซึ่งมีโบสถ์เล็กๆ อยู่อีกหลายโบสถ์ และยังมีโบสถ์ถ้ำใหญ่ทีใช้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาอยู่ด้วย และเช่นกัน ด้านล่างใช้เป็นห้องครัว และห้องสวดมนต์ สามารถขึ้นบันไดไปเยี่ยมชมได้ส่วนโบสถ์ใหญ่อีกแห่งที่เราเห็นเป็นลานกว้างด้านบน เรียกว่า Dark Church หรือ โบสถ์แห่งความมืด เพราะภายในนั้นค่อนข้างมืด แสงส่องเข้าภายในได้น้อยมากๆ ซึ่งต้องเสียค่าเข้าเพิ่มคนละ 10 เตอร์กิชลีรา (ประมาณ 100 บาท) ซึ่งภาพเฟรสโก้ภายในมี
สีสันที่สวยงามมาก แต่เรื่องราวเป็นเรื่องเดียวกับโบสถ์แอปเปิ้ล ด้านหลัง Dark Church ก็ยังมีโบสถ์อีกหลายโบสถ์ซึ่งมีภาพเฟรสโก้ให้ได้เยี่ยมชม การเยี่ยมชมดูภาพเฟรสโก้มีอายุนับพันปี นับเป็นสิ่งตื่นตาตื่นใจว่า ผู้เชื่อในคริสต์ศาสนายุคนั้นมีความเข้มแข็งและพยายามอย่างมาก ในการขุดหิน ขุดภูเขาให้เป็นถ้ำ เพื่อใช้เป็นศาสนสถาน และยังตั้งใจวาดภาพเล่าเรื่อง เพื่อจารึก และถวายเกียรติแด่พระเจ้า .. ทว่าไม่ได้มีแค่โบสถ์เดียว หากแต่ในบริเวณนี้ มีโบสถ์มากมายหลายโบสถ์ ซึ่งไม่ไกลกันเลย เราสามารถเดินดูได้ไม่รู้เบื่อ เอ๊ะ.. หรือเพราะเราก็สนุกกับการถ่ายภาพ เพื่อบันทึกเส้นทางการเที่ยว และเก็บเป็นความทรงจำที่ยิ้มได้ทุกครั้งที่ดูภาพ.. ภาพเราไปโผล่ถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมทริปที่โบสถ์ถ้ำ หรือนึกถึงอากาศเย็นใกล้ศูนย์องศา แต่มีแดดซึ่งข้อดีคือ ถ่ายรูปสวย.. เราเดินอยู่ในนั้นทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า แต่รู้สึกเหมือนแป๊บเดียวเอง... ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่ถ้ามาเมืองคัปปาโดเกีย เพื่อนๆ ต้องไม่พลาดค่ะ.. สวย ใส วัยเราเลยค่ะ อิอิ


จำนวนผู้เข้าชม 28 ครั้ง