เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี ฮิปโปรโดรม อิสตันบูล ประเทศตุรกี สนามแข่งม้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ข้อมูลเที่ยวตุรกี

เที่ยวตุรกี ฮิปโปรโดรม อิสตันบูล ประเทศตุรกี  สนามแข่งม้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ข้อมูลเที่ยวตุรกี

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี ฮิปโปรโดรม อิสตันบูล ประเทศตุรกี สนามแข่งม้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ข้อมูลเที่ยวตุรกี

ฮิปโปรโดรม สนามแข่งม้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเสาโอเบลิสค์ ที่คนไทยไม่คุ้นหู จะเป็นอย่างไร มีเรื่องราวน่าสนใจแค่ไหน ไปเที่ยวด้วยกันค่ะ ในตอนนี้นะคะ ชาขมจะพาไปเที่ยวศูนย์กลาง หรือเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของดินแดนคอนสแตนติโนเปิล หรือของจักรวรรดิออตโตมันก็ว่าได้ นั่นคือจุดที่เรียกว่า ไปติดตามพร้อมกันเลยจร้า

วันที่หนึ่ง - จตุรัสสุลต่านอาห์เมท (Sultanahmet Square)

ก่อนจะเข้าเรื่องนี้ ชาขม จะขอเล่าถึงการสถาปนาอิสตันบูล จะขอย้อนกลับไปจนถึงสมัยยุคกรีกโบราณนะคะ ในสมัยนั้นหากกษัตริย์คิดจะสร้างเมืองใหม่ หรือแสวงหาดินแดนใหม่ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปปรึกษากับผู้พยากรณ์ แล้วกษัตริย์ บิซัส (Byzas) ก็ทรงได้รับคำตอบจากผู้พยากรณ์ว่า ให้ไปสร้างเมืองข้างๆ ดินแดนที่ผู้คนตาบอด ซึ่งกษัตริย์ก็ทรงแปลกใจมากๆ พระองค์ได้ทำการเสาะแสวงหาเมืองต่างๆ จนมาถึงดินแดนนี้ แต่เป็นฝั่งเอเชีย ดินแดนนั้นชื่อ คาเคดอน (Chalcedon) ซึ่งในปัจจุบันคือ คาดิคอย (Kadikoy) จากการที่พระองค์พักอยู่ที่นั่น 2-3 วันทำให้พระองค์รู้สึกดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่ดี สวยงาม แต่พระองค์ก็ได้มองไปเห็นดินแดนส่วนที่เป็นฝั่งยุโรป จึงได้ข้ามช่องแคบบอสฟอรัสมายังฝั่งยุโรปและค้นพบว่ามันช่างสวยงามมากกว่าฝั่งเอเชียเสียอีก แปลกใจว่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เลย จะกลับไปอยู่ฝั่งเอเชียกันหมด พระองค์จึงคิดว่า “ทำไมไม่มีคนอยู่ในอาศัยดินแดนสวยงามเช่นนี้นะ พวกเขาต้องตาบอดแน่ๆ ที่ไม่เห็นดินแดนที่สวยงามและน่าอยู่เช่นนี้” ..ทันใดนั้น พระองค์ก็นึกถึงคำพูดของผู้พยากรณ์ขึ้นมาได้ว่า  ข้างๆ ดินแดนที่ผู้คนตาบอด พระองค์จึงเข้าใจคำพูดของผู้พยากรณ์ได้ทันทีว่า ไม่ใช่ผู้คนตาบอด แต่ตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นดินแดนที่สวยงามน่าอยู่นี้ได้ พระองค์จึงสร้างเมืองใหม่ในฝั่งยุโรปนี้.. นี่ก็คือตำนานในการสถาปนาเมืองอิสตันบูล ภายหลังต่อมาเฉพาะในกลุ่มนักประวัติศาสตร์ได้ใช้ชื่อ บิซัส ในการแยกความแตกต่าง ของโรมันตะวันออก และโรมันตะวันตก เขาเรียกโรมันตะวันออกว่าไบแซนเทียม (Byzentium)

วันที่สอง - สะพานในอิสตันบูลมี 3 สะพาน

ปัจจุบันในอิสตันบูลมี 3 สะพาน ซึ่งเชื่อมระหว่างฝั่งยุโรปและเอเชีย สะพานแรกคือ สะพานกาลาตา (Galata Bridge) ซึ่งใต้สะพานนี้มีร้านอาหารมากมาย และมีวิวที่สวยงาม / สะพานบอสฟอรัส (Bophorus Bridge) และสะพานยาวุส สุลต่าน เซลิม (Yavuz Sultan Selim Bridge) ณ จุดที่เรียกว่าหัวใจของจักรวรรดิออตโตมันแห่งนี้ สถานที่แรกที่เราจะเยี่ยมชมคือ ฮิปโปรโดม (Hipprodrome)  สร้างในศตวรรษที่ 2 ลองจินตนาการดูนะคะว่า พื้นที่โล่งกว้าง และยาวแห่งนี้ แต่ก่อนถูกล้อมรอบด้วยสเตเดียม หรืออัฒจรรย์ ซึ่งมีที่นั่งให้ผู้คนมากมายได้เข้ามาชม ถามว่าชมอะไรน่ะหรือคะ ที่นี่คือสนามแข่งม้า และแข่งรถม้า จุดเริ่มแข่งขันได้อยู่มุมด้านหนึ่ง ม้าวิ่งออกไป แล้วอ้อมเสาสุดท้ายกลับมา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเหลือเลยจากวันนั้น แต่มีสิ่งประดิษฐ์หนึ่งที่หลงเหลืออยู่ คือน้ำพุ ชื่อว่า น้ำพุเยอรมัน (German Fountain) ซึ่งเป็นของขวัญแด่องค์สุลต่าน อาเมด (Sultan Ahmed) จากจักรพรรดิเยอรมันวิลเฮล์มที่ 2 (German Emperor Wilhelm II) เมื่อครั้งที่มาเยือนอิสตันบูลในปี 1898  น้ำพุสร้างในประเทศเยอรมัน และขนส่งมาทางเรือ เป็นชิ้นส่วนแล้วมาประกอบ ณ ที่แห่งนี้ ภายในโดมน้ำพุนี้ประดับไปด้วยสีโมเสคทอง จะมีวงกลมสีเขียวบรรจุลายเซ็นขององค์สุลต่าน สลับกับวงกลมสีน้ำเงินพร้อมสัญลักษณ์ดับเบิ้ลยู หมายถึงจักรพรรดิวิลเฮล์มที่สอง เป็นสถาปัตยกรรมนีโอ-ไบเซนไทน์ คือมีโดม 8 มุม และเสาหินอ่อน 8 ต้นรองรับ และน้ำพุนี้ยังถูกใช้งานจนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ

วันที่สาม - เสาโอเบลิสค์ ธีโอโดซิสที่ 1

ในบริเวณฮิปโปรโดมแห่งนี้ มีเสาหิน หรือเสาโอเบลิสค์อยู่สามต้นด้วยกัน เสาหินต้นแรก ที่ถัดจากน้ำพุเยอรมันคือ เสาโอเบลิสค์ ธีโอโดซิสที่ 1 (The Obelisk Of Theodosius I) เป็นเสาฐานสี่เหลี่ยม แหลมสูงขึ้นไป สร้างโดยวิหารคาร์นัค ในอียิปต์ เมื่อเกือบ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยฟาโรห์ธุตโมสที่ 3 (Pharaoh Thutmose III) และถูกส่งมาทางแม่น้ำไนล์ ไปยังกรีซ ในสมัยจักรพรรดิโรมัน คอนสแตนติน ที่ 2  (Constantius II (337–361 AD) เพื่อเป็นการเฉลิม

ฉลองการครองราชย์ปีที่ 20 ในปี 357 AD  และได้ถูกเคลื่อนย้ายมาที่ฮิปโปรโดรมแห่งนี้ในปี 390 AD ในสมัยพระจักรพรรดิโรมันธีโอโดซิสที่ 1 (Theodosius I (379–395 AD) เสาโอเบลิสค์ธีโอโดซิสที่ 1 นี้มีความสูงถึง 21 เมตรสร้างโดยหินแกรนิตชิ้นเดียว จริงๆ แล้วเสาโอเบลิสค์ที่มาจากวิหารคาร์นัคในโลกนี้มีประมาณ 20 ต้น ต้นที่อยู่หน้า White House ก็มาจากวิหารเดียวกันนี้ เมื่อตอนที่เขานำขึ้นมาจากเรือ เขาใช้วิธีนำไม้มาวางบนพื้นซึ่งมีน้ำมันเคลือบอยู่ แล้วลากไปเรื่อยๆ จนถึงณจุดนี้ ส่วนฐานของเสามีแผ่นหินอ่อนแกะสลัก เป็นรูปพระจักรพรรดิยืนตรงกลางล้อมรอบด้วยพี่น้อง และประชาชน กำลังยืนชมการแข่งม้าอยู่ ที่เรารู้ได้ว่าคนตรงกลางนั้นเป็นพระจักรพรรดิธีโอโดซิสที่ 1 เพราะมีจารึกเป็นภาษาละตินเขียนไว้ว่า พระจักรพรรดิธีโอโดซิสที่ 1กำลังชมการแข่งม้าอยู่กับครอบครัวและประชาชน ซึ่งเมื่อเรามองลงไปตรงฐานรากเราจะเห็นพื้นดินที่ลึกลงไปนั้นคือระดับพื้นดินที่แท้จริงของฮิปโปรโดมในยุคนั้น

วันที่สี่ - เสาเซอร์เพนท์ Serpent’s Column

เสาต้นถัดไปเป็นเสาสำริดสีเขียวชื่อว่า เสาเซอร์เพนท์ (Serpent’s Column)  ซึ่งคำว่า เซอร์เพนท์ แปลว่างู เดิมสูง 8 เมตร เสานี้สร้างเป็นรูปงูสำริด 3 ตัวพันกัน สร้างเพื่อเฉลิมฉลองและถวายต่อเทพอพอลโล่ (Apollo) แห่งเดลฟี ในชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของชาวกรีกที่มีต่อชาวเปอร์เซียในสงครามพลาเทีย (The Battle Of Platea) เมื่อ 480 ปีก่อนคริสตกาล แล้วเค้าก็เอาอาวุธต่างๆ ที่ยึดได้จากชาวเปอร์เซียมาหลอมรวมกันแล้วสร้างเป็นเสาต้นนี้ขึ้นมา ที่เสามาอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะว่า พระจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชต้องการประดับตกแต่งเมืองใหม่ของพระองค์ จึงนำเสาต้นนี้มาจากเมืองเดลฟีประเทศกรีซมาไว้ที่นี่ในปี ค.ศ.324 ค่ะและเพื่อนๆ ก็คงจะเดาได้ว่า เสาต้นนี้ควรที่จะต้องมีงูให้เราเห็น 3 หัวใช่ไหมคะ ถูกต้องค่ะ เสาแต่เดิมนั้นมีหัวงูแยกออกมา 3 หัวและรองรับชามทองด้านบน.. เรื่องน่าสนใจมีอยู่ว่า เสาต้นนี้ได้ถูกทำลายลงในสงครามครูเสดครั้งที่ 4 เมื่อยุโรปตะวันตกเข้ามายึดครองและตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล พวกเขาได้ขโมยชามทองด้านบน รวมทั้งหลอมสำริดที่ด้านข้างเสาโอเบลิกค์คอนสแตนติน (Constantine’s Obelisk) ออกไป.. และในปัจจุบันส่วนหัวของงู เหลืออยู่ 1 หัว ซึ่งถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี ในอิสตันบูล

วันที่ห้า - เสาโอเบลิสค์คอนสแตนติน Constantine’s Obelisk

และเสาถัดมา คือเสาโอเบลิสค์คอนสแตนติน (Constantine’s Obelisk) สูง 32 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของฮิปโปรโดม ถูกสร้างเมื่อใดไม่แน่ชัด แต่ถูกเรียกว่าเสาคอนสแตนติน หลังจากสมัยคอนสแตนตินที่ 7 ในศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นผู้บูรณะ โดยมีการตกแต่งด้วยแผ่นทองสำริด แต่ถูกหลอมขโมยไปในสงครามครูเสดที่ 4  และเสานี้ถูกใช้เป็นจุดกลับตัวในการแข่งม้านั่นเอง 

จำนวนผู้เข้าชม 24 ครั้ง