เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย อิสตันบูล ประเทศตุรกี เรื่องราวเม้าประวัติศาตร์ ตอนที่1

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย อิสตันบูล ประเทศตุรกี   เรื่องราวเม้าประวัติศาตร์ ตอนที่1

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย อิสตันบูล ประเทศตุรกี เรื่องราวเม้าประวัติศาตร์ ตอนที่1

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) ความอลังการที่สร้างมากว่า 1,500 ปี สัญลักษณ์ของความศรัทธาทางศาสนา และสถาปยกรรมล้ำค่า ตอนนี้ เรายังคงเดินเล่นอยู่ในนครที่เป็นหัวใจของกรุงคอนสแตนติโนเปิล.. จัตุรัสสุลต่านอาห์เมท (Sultanahmet Square) ซึ่งบริเวณนี้มีสถานที่น่าสนใจให้เราเข้าชมหลายที่ ชาขมว่าเราจะใช้เวลาในการเยี่ยมชมจุดนี้ก็น่าจะไม่น้อยกว่า 1 วันเต็มค่ะ เพราะถ้าชมอย่างเร่งรีบ ก็จะทำให้พลาดความงาม ความอลังการ ซึ่งสะท้อนความศรัทธา ในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่มีอายุกว่า 1,000 ปี และในช่วงเวลานับพันปีนั้น ก็มีเหตุการณ์ที่น่าระทึก น่าสนใจให้เราได้ศึกษาและเข้าใจผลของการส่งต่อทางศาสนา และวัฒนธรรมได้จนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ และที่แห่งนี้ ฮาเกียโซเฟีย เป็นที่โปรดของชาขม มาหลายรอบ ก็ยังรู้สึกสนุก และทึ่งในการสร้างอาคารโดมใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ รวมไปถึงความงามวิจิตรทั้งของตัวตึก และภาพโมเสกภายในที่มีค่ามีเรื่องราว ก็ทำให้มากี่ทีก็ไม่รู้เบื่อค่ะ ^_^ เราเยี่ยมชม และย้อนอดีตไปฟังเรื่องราว และเรื่องเล่าของ ฮาเกียโซเฟียด้วยกันค่ะ

วันที่หนึ่ง - ความหมายของ ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) ในภาษากรีก

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) เป็นภาษากรีก มีความหมายว่า ปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Wisdom) เดิมสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโบสถ์ แต่ภายหลังถูกเปลี่ยนให้เป็นมัสยิด ในปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ... และอาคารอลังการที่เห็นเช่นทุกวันนี้นั้น ก็เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว.. แล้วเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น ชาชมจะเล่าให้ฟังค่ะ ; )  มหาวิหารฮาเกียโซเฟียแห่งนี้แรกเริ่มเดิมทีนั้น สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าคอนสแตนติอุสที่ 2 (Constantius II) เรียกชื่อโบสถ์ว่า โบสถ์อันยิ่งใหญ่ (Great Church) เปิดตัวให้ประชาชนได้เข้านมัสการพระเจ้าในปี ค.ศ. 360 นับเป็นวิหารใหญ่ที่มีเสาหิน และระเบียงสไตลละติน มีหลังคาทำด้วยไม้ นับได้ว่าเป็นวิหารใหญ่ที่มีความงามโดดเด่นมากในยุคนั้น ต่อมาถูกไฟไหม้เสียหายในปี ค.ศ.404 และน่าเสียดายที่ไม่มีอะไรหลงเหลือเลยจากโบสถ์แรกนี้

วันที่สอง - โบสถ์ที่ 2 สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5

โบสถ์ที่ 2 สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5 ณ ตรงที่เดิม โดยพระจักรพรรดิธีโอโดซิสที่ 2 (Emperor Theodosios II 408-450) เปิดตัวให้ประชาชนได้เข้านมัสการพระเจ้าในปี ค.ศ. 415 ยังคงเป็นวิหารใหญ่ที่มีหลังคาทำด้วยไม้ ถูกไฟไหม้ในความวุ่นวายของการจราจลนิก้า (Nika Revolt) ในปี ค.ศ.532 ซึ่งเป็นการลุกฮือต่อต้านจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Emperor Justinian I) กลางกรุงคอนสแตนติโนเปิล และนับเป็นการจลาจลที่เสียหาย และรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของนครแห่งนี้ ผู้คนทำลายวัง และเผาเมือง รวมทั้งวิหารฮาเกียโซเฟียอันล้ำค่าด้วยมือของคนที่นี่เอง และมีผู้คนถึง 30,000 คนถูกฆ่าตายตรงฮิปโปรโดรมในการจลาจลนี้  ชาขมอยากเล่าเรื่องการจลาจลนิก้านี้นะคะเพราะน่าสนใจ แต่เดี๋ยวจะยาวไป เอาเป็นว่าเพื่อนๆ ติดตามอ่านได้ใน EP.4 แล้วกันนะคะ อิอิ... สิ่งที่หลงเหลืออยู่จากฮาเกียโซเฟียที่ 2 คือหินอ่อนตรงทางเข้าด้านหน้า ปัจจุบันถูกวางโชว์ไว้ด้านข้างของทางเข้าฮาเกียโซเฟีย หลังจากถูกค้นพบใต้พื้นสวน ทางทิศตะวันตกในปี ค.ศ.1935 โดย A. M. Schneider หินอ่อนนี้สลักเป็นรูปแกะ 6 ตัว ซึ่งแกะ หมายถึงสาวกทั้ง 12 คนของพระเยซู 

วันที่สาม - ฮาเกียโซเฟียที่ 3 สร้างในปี 532

ฮาเกียโซเฟียที่ 3  สร้างในปี 532 ไม่กี่สัปดาห์ หลังจากถูกทำลาย ซึ่งยังคงเป็นสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Emperor Justinian I) พระองค์ต้องการให้เป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ โอ่อ่ายิ่งกว่าวิหารหลังเดิม โดยเลือกนักฟิสิกข์ และนักคำนวณมาเป็นสถาปนิก และใช้แรงงานคนกว่าหมื่นในการก่อสร้าง เสาคอลัมน์หินอ่อน และหินอ่อนส่วนอื่นๆ ถูกนำมากจากทั่วจักรวรรดิ และดินแดนเมริเตอร์เรเนียน ซึ่งต่อมาถูกขโมยออกจากเมืองไปในการรุกรานของโรม และเอเฟซัส และยังมีโดมสูงขนาดมหึมาตระหง่านอยู่ตรงกลางมหาวิหาร เปิดตัวให้ประชาชนได้เข้านมัสการพระเจ้าในปี ค.ศ. 537 คือแค่ 5 ปี 10 เดือนหลังการก่อสร้างเริ่มต้น ส่วนภาพโมเสกภายในเสร็จสมบูรณ์ในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 2 (Emperor Justiniun II 565-578) มหาวิหารฮาเกียโซเฟียนี้ นับเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนานิกาย
ออโธดอกซ์แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล และเป็นที่หลักในการจัดราชพิธีของจักรวรรดิไบเซนไทน์ เช่น พิธีบรมราชาภิเษก

วันที่สี่ - แผ่นดินไหวในปี 553 และ 557 เป็นเหตุให้โดมแตกร้าว

ภายหลังเกิดแผ่นดินไหวในปี 553 และ 557 เป็นเหตุให้โดมหลัก และโดมครึ่งวงกลมด้านทิศตะวันออกร้าวแตก และโดมหลักได้พังทลายทั้งหมดในแผ่นดินไหวปี 558 จักรพรรดิทรงสั่งให้บูรณะในทันที โดย Isidorus ใช้วัสดุที่เบากว่าเดิมในการสร้างโดมสูง 30 ฟุต หรือ 6.25 เมตร และการตกแต่งในอาคารสูง 55.6 เมตร เค้าได้เปลี่ยนให้ซี่ของโดมแคบลง ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 32.7 และ 33.5 เมตร ทั้งจัสตินเนียนยังสั่งให้นำเสาหินโครินทร์ (Corinthian Columns) ถอดชิ้นส่วน แล้วล่องเรือมาจากเมืองบาลเบก เลบานอนราวปี 560… การบูรณะเสร็จสมบูรณ์ในปี 562 หลังจากความงดงามอลังการนี้ โดมในฮาเกียโซเฟีย ก็มีการถล่มลงมาอีกหลายครั้งเพราะแผ่นดินไหว และก็ได้มีการบูรณะตามแต่รัชสมัยองค์พระจักรพรรดิตลอดระยะเวลาเกือบพันปี รวมทั้งมียุคที่ต่อต้านรูปเคารพ ทำให้มรดกทางศาสนา และประวัติศาสตร์หลายๆ อย่างสาบสูญไป

วันที่ห้า - กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกชาวออตโตมันยึดครองในปี 1453

ต่อมากรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกชาวออตโตมันยึดครองในปี 1453 โดยสุลต่านเมเมทที่ 2 (Sultan Mehmet II) ซึ่งตอนนั้นฮาเกียโซเฟียก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีแล้ว.. สิ่งแรกที่สุลต่านเมเมทที่ 2 ทำคือการเปลี่ยนโบสถ์แห่งนี้ให้กลายเป็นมัสยิด ขณะนั้นสุลต่านย่างเท้าเข้าไปในโบสถ์แห่งนี้และเห็นประชาชนชาวโรมันหลบซ่อนอยู่ในโบสถ์ พระองค์ตรัสว่า ไม่ต้องกลัวเรา พวกเจ้าคือประชาชนของเราตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และทรงสั่งให้บูรณะ รวมถึงไม่เคยทำลายสิ่งใดๆ เพราะพระองค์ทรงเคารพความแตกต่างของศาสนา ส่วนภาพโมเสกที่ประดับอยู่ในโบสถ์นั้น ได้นำปูนมาโบกทับ เพราะในมัสยิดจะไม่มีภาพหน้า และภาพคนใดๆ ... สุลต่านได้เข้าไปในการสวดวันศุกร์ครั้งแรก เมื่อปี 1453 และได้ใช้ที่นี่เป็นมัสยิดของราชวงศ์เป็นแห่งแรกของอิสตันบูล

วันที่หก - สร้างหอคอยเพิ่ม

ก่อนปี 1481 มินาเร่ (Minaret) หรือหอคอยของมัสยิด..หอคอยเล็กถูกสร้างทางมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต่อมาสร้างเพิ่มอีก 1 หอคอยด้านมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 1 ใน 2 หอคอยนี้ถล่มลงมา เพราะแผ่นดินไหว...ต่อมาหอคอยทั้งสองถูกแทนที่ด้วย 2 หอยคอยสร้างมุมแทยงกันในทิศตะวันออก และตะวันตกของตัวอาคาร ในยุคสุลต่านสุไลมานผู้ยิ่งใหญ่ (Sultan Suleiman The Magnificent) ช่วงศตวรรษที่ 16 วิศวะแผ่นดินไหวอย่าง มิมาร์ ซีนาน (Mimar Sinan) ก็ได้สร้างอีก 2 หอคอยใหญ่สุดมุมอาคารด้านทิศตะวันตก

วันที่เจ็ด - ปี 1935 ฮาเกียโซเฟียถูกใช้เป็นมัสยิด

จนถึงปี 1935 ฮาเกียโซเฟียถูกใช้เป็นมัสยิด แล้วต่อมาประธานาธิบดีคนแรกของตุรกี มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก (Mustafa Kemal Ataturk) ได้เปลี่ยนที่แห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็ได้มีการเอาปูนออกให้เห็นโมเสก เราจึงได้เห็นลักษณะของศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์อยู่ด้วยกันในสิ่งก่อสร้างเดียว
ส่วนภายในจะมีอะไรน่าสนใจ และน่าตื่นเต้นบ้าง ไปเที่ยวกันต่อใน ฮาเกียโซเฟีย ภาค 2 นะคะ ^_^