เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย อิสตันบูล ประเทศตุรกี ความงามภายใน และภาพโมเสกล้ำค่า ตอนที่ 2

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย อิสตันบูล ประเทศตุรกี   ความงามภายใน และภาพโมเสกล้ำค่า ตอนที่ 2

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย อิสตันบูล ประเทศตุรกี ความงามภายใน และภาพโมเสกล้ำค่า ตอนที่ 2

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) ความอลังการที่สร้างมากว่า 1,500 ปี สัญลักษณ์ของการเคารพความต่างของศาสนาในยุคปัจจุบัน เราเดินเข้าชมความยิ่งใหญ่ของฮาเกียโซเฟียไปด้วยกันนะคะ ประตูที่เราเข้าไปเป็นระตูใหญ่ และมีประตูเล็กๆ ทางซ้าย 4 ประตูและทางขวาอีก 4 ประตู ประตูกลางใหญ่ที่เราเดินเข้ามาเรียกว่า Imperial Gate ไว้สำหรับให้จักรพรรดิโรมันใช้เดินเข้ามา  ประชาชนทั่วไปจะใช้ประตูเล็กทางซ้ายหรือขวาก็ได้ค่ะ ด้านบนของประตูกลางนี้ มีรูปภาพโมเสก ซึ่งน่าจะเป็นภาพในปลายศตวรรษที่ 9 หรือต้นศตวรรษที่ 10 เป็นรูปผู้ชายนั่งบนบัลลังก์ประดับอัญมณี เรารู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้คือพระเยซู เพราะมีภาพไม้กางเขนอยู่ด้านหลังของศีรษะ พระเยซูทรงถือคัมภีร์ไบเบิลอยู่ในมือซ้าย บนไบเบิลเขียนว่า “Peace be with you. I am the  light of the world.” ในภาษากรีก ซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์ยอห์น 20:19, 20:26, 8:12 ภาพวงกลมทางด้านไหล่ซ้ายเป็นภาพของเทวดามีปีก คือเทวทูตเกเบียล (Archangel Gabriel) ภาพวงกลมทางด้านไหล่ขวาเป็นภาพของพระนางมารีย์ ส่วนด้านล่างนั้นเป็นภาพชายคนหนึ่งพยายามก้มลงจูบเท้าของพระเยซู ชายผู้นั้นคือจักรพรรดิลีโอ (Leo) กำลังขอโทษพระเยซู เพราะตามหลักของศาสนาคริสต์ตะวันออก ไม่อนุญาตให้แต่งงานมากกว่า 1 ครั้ง แต่แต่จักรพรรดิ ได้แต่งงาน 2 ครั้งกับภรรยา 2 คน เพราะภรรยาคนแรกไม่สามารถมีลูกชายให้ได้จากการแต่งงานในครั้งแรก จึงต้องแต่งงานเป็นครั้งที่ 2 เพื่อที่จะมีลูกชายเพราะพระองค์เป็นพระจักรพรรดิ ต้องการคนสืบราชบัลลังก์

วันที่หนึ่ง - ความงามด้านในของฮาเกียโซเฟีย

เดินผ่านประตูกลางเข้าไปกันนะคะ เราจะไปชมความงามด้านในของฮาเกียโซเฟียกันค่ะ และสิ่งแรกที่ทำให้เพื่อนๆ ตะลึงก็คือ โดมอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 32 เมตร ซึ่งนับเป็นโดมที่ใหญ่ที่สุดในนครอิสตันบูล เราได้ไปเยี่ยมชมมัสยิดสุไลมานิเย่ ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 16 และสุเหร่าสีน้ำเงิน ชื่อสร้างในศตวรรษที่ 17 มาแล้ว ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับฮาเกียโซเฟียแล้วนับว่าใหม่มาก เพราะฮาเกียโซเฟีย สร้างศตวรรษที่ 6 ซึ่งนับว่าเก่าแก่มากและยังมีโดมที่ยิ่งใหญ่กว่ามากด้วย เพื่อนๆ ลองจินตนาการถึงความยากในการสร้างโดมใหญ่ขนาดนี้เลยสมัยนั้นดูสิคะ ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วโดมนี้มีการพังทลายลงมาหลายครั้งด้วยกัน เช่น จากเหตุแผ่นดินไหวในศตวรรษช่วง 17-18 และก็มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่เพื่อทำให้โดมมี

น้ำหนักเบาขึ้น และเราสามารถเห็นสัญลักษณ์กากบาทที่พื้นได้ ซึ่งไม่ได้มีความหมายทางด้านศาสนาแต่อย่างใด เพราะผู้คนก็เดินข้ามไปมา แต่เป็นทำสัญลักษณ์ของสถาปนิก ในการสร้างโดมขึ้นมานั้นเอง

วันที่สอง - เราจะเห็นแผ่นวงกลมใหญ่มาก แขวนอยู่ที่เสาหิน คือพระนามของพระเจ้า

ด้านในวิหาร เราจะเห็นแผ่นวงกลมใหญ่มาก แขวนอยู่ที่เสาหิน สลักตัวอักษรอิสลามไว้ คือคำว่า อัลเลาะห์ (Allah) คือพระนามของพระเจ้า / มูฮัมหมัด (Muhammad) คือองค์ศาสดา และ 4 คาริบ (Caliph) คือผู้นำของศาสนาอิสลาม เกิดขึ้นหลังสมัยศาสดามูฮัมหมัด เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ในการเล่าเรื่องศาสนาอิสลาม ได้แก่ อาบู (Abu) / บาร์ก (Bakr) / อูมาร์ (Umar) / อุทมาน (Uthman) / และ อาลี (Ali) รวมทั้ง หลาน 2 คนของมูฮัมหมัด ได้แก่ ฮัสซาน (Hassan) / ฮุสเซน (Hussain) โดยนักเขียนอักษรวิจิตร Kazasker Mustafa Izzed Effendi และเมื่อเรามองที่ภาพโมเสกทางด้านทางเข้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก็งดงามมาก เป็นภาพพระนางมารีนั่งอยู่บนบัลลังก์ประดับด้วยหินอัญมณี และมีพระเยซูตอนเด็กนั่งอยู่บนตัก กำลังอวยพรให้กับ จักรพรรดิคอนสแตนติน สวมชุดราชพิธี โชว์โมเดลของเมือง ยืนอยู่ทางซ้ายของนางมารี และทางขวาเป็นจักรพรรดิจัสติเนียน โชว์โมเดลของฮาเกียโซเฟีย ..ภาพวงกลมทั้ง 2 ข้างบรรจุอักษรย่อ แปลว่า “Mother of God”

วันที่สาม - การเคลื่นตัวของตัวอาคารฮาเกียโซเฟีย

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจอยากจะเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า ถ้าเราพูดถึงโบสถ์ในศาสนาคริสต์ โบสถ์จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศนั้น แต่ถ้าเป็นมัสยิด หรือสุเหร่า ของศาสนาอิสลามนั้น จะหันหน้าไปทางทิศใต้ เพราะเมกกะอยู่ทางทิศใต้ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนจากโบสถ์ให้เป็นมัสยิด จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการสร้างทางเข้าเล็กๆ ทางด้านขวาของทางเข้ากลาง แต่เป็นทางด้านขวาไปนิดเดียว ทำไมถึง

นิดเดียว เพราะว่าตัวอาคารของฮาเกียโซเฟีเองนั้นก็ได้เคลื่อนตัวไปทางทิศเมกกะเช่นกัน ซึ่งเป็นเพราะการเคลื่อนตัวของพื้นใต้อาคาร แต่ก็มีผู้คนบางคนที่เชื่อว่า มีฮีโร่คนหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนศาสนา เขาเดินเข้ามาที่นี่เอานิ้วจิ้มลงไปในหิน แล้วหมุนตัวอาคารให้หันไปทางทิศเมกกะ แล้วยังมีผู้คนที่ที่มีความเชื่อแบบนี้จนถึงทุกวันนี้ ...ซึ่งเสาหินอธิษฐานนี้ (Wishing Column) ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอาคาร ซึ่งจะเป็นแผ่นสำริดหุ้มเสาอยู่ และมีรู ถ้าเราเอานิ้วจิ้มเข้าไปแล้วหมุนมือให้รอบเป็นวงกลมได้ คำอธิษฐานของเราจะเป็นจริง

วันที่สี่ - ความงามเหนือยคำบรรยายอยู่ที่ชั้นสอง

แล้วเราเดินต่อขึ้นไปยังชั้น 2 กันนะคะ ซึ่งที่นี่ไม่มีบันได มีแต่ทางลาดขึ้นเป็นทางลาด 7 สโลปหรือว่า 7 ช่วงน่ะค่ะ ซึ่งค่อนข้างยาวไกล และชันพอดูค่ะ ที่ไม่มีบันไดเป็นเพราะว่าในสมัยนั้น พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีจะขึ้นชั้น 2 ด้วยการทรงม้า ฉะนั้นเพดานในส่วนทางลาดนี้จะสูงระดับที่คนอยู่บนหลังม้าแล้วจะไม่ชนเพดาน แต่ตอนนี้เพดานนี้ไม่สูงแล้วหลังจากที่มีการบูรณะในหลายครั้ง กว่าจะขึ้นมาถึงชั้น 2  ทางลาด 7 สโลปนี้ก็ทำเราหอบได้อยู่ค่ะ ฮึบ..ฮึบ..เมื่อมาถึงชั้น 2  ตรงกลางจะมีแผนผังของชั้น 2 ให้เราดู.. ณ จุดที่ 1 นี้เรียกว่า Empress’s Lodge เป็นจุดที่ดีที่สุดในการชมฮาเกียโซเฟีย ไว้สำหรับตั้งบัลลังก์ให้พระจักรพรรดินีนั่งชมพิธีทางศาสนาต่างๆ ในโบสถ์ ในช่วงจักวรรดิโรมันตะวันออก ..เราเดินตามทางเดินชั้นสองนี้ไปเรื่อยๆ นะคะ เราจะเห็นภาพโมเสกที่สวยงาม และมีอายุกว่า 500 ปี

วันที่ห้า - ภาพพระเยซูยืนถือคัมภีร์ไบเบิลอยู่ตรงกลาง

ภาพโมเสกหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมไปเยอะ แต่ก็เป็นภาพที่มีเรื่องราว น่าจะวาดในศตวรรษที่ 13 เป็นภาพที่มีความนุ่มนวล มีการแสดงทางอารมณ์โดยโทนของโมเสก เป็นภาพพระเยซูยืนถือคัมภีร์ไบเบิลอยู่ตรงกลาง พระนางมารี และนักบุญจอห์นกำลังวิงวอนในวันพิพากษา.. เมื่อเรามองดูที่ใบหน้าของพระเยซู เราจะพบว่าตาซ้ายและตาขวามองไปทิศทางที่แตกต่างกัน เป็นเทคนิคการวาดที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าคุณยืนมองรูปนี้จากตรงไหนก็ตาม คุณจะเห็นเหมือนพระเยซูมองไปทางคุณอยู่ในทุกทิศทาง ภาพนี้เป็นภาพโมเสคที่มีหนึ่งเดียวในโลก และเป็นภาพในช่วงเริ่มต้นของยุคเรเนซอง (Renaissance) ในศิลปะการวาดภาพของไบเซนไทน์

วันที่หก - ภาพโมเสกเป็นศิลปะไบเซนไทน์

และภาพโมเสกที่น่าสนใจอีกภาพหนึ่ง เป็นศิลปะไบเซนไทน์ น่าจะวาดในศตวรรษที่ 12 เป็นภาพพระแม่มารีในชุดน้ำเงินเข้ม อุ้มพระเยซูอยู่บนตัก ซึ่งทรงกำลังอวยพรด้วยมือขวา ขนาบด้วยพระจักรพรรดิจอห์นที่ 2 คอมเนนุส (Emperor John II Comnenus) ทางด้านซ้าย และพระจักรพรรดินีเอเลน่า (Empress Irene) ทางด้านขวา กำลังบริจาคให้กับฮาเกียโซเฟีย และมีภาพของลูกชายคนโต อเล็กซิส (son Alexius Comnenus) ไม่มีเคราวัยรุ่น อาจจะแสดงให้เห็นภาพตอนพระองค์ขึ้นราชาภิเษกตอนอายุเพียง 17 ปี อยู่ที่เสาเหลี่ยมด้านข้างของพระจักรพรรดินี สิ่งที่จะเห็นได้ชัดคือ ความแตกต่างของภาพจักรพรรดินีโซ ซึ่งภาพจะเก่ากว่าประมาณ 1 ศตวรรษ เพราะในภาพนี้จักพรรดินีเอเลน่าจะแสดงสีหน้าชัดเจนกว่า และยังวาดผมเป็นสีทอง แก้มสีชมพูกุหลาบ ตาสีเทา สวมชุดราชวงศ์ฮังกาเลี่ยนตามเชื้อสาย และจักพรรดิก็ทรงวาดในท่าทางที่สง่างาม

วันที่เจ็ด - ภาพพระเยซูนั่งตรงกลางอยู่บนบัลลังก์ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม

อีกภาพโมเสกที่สวยงาม... ก็สวยล้ำค่าทุกรูปนะคะ ^_^ น่าจะวาดในศตวรรษที่ 11 เป็นภาพพระเยซูนั่งตรงกลางอยู่บนบัลลังก์ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม (เป็นแนวทางของศิลปะไบเซนไทน์) ทรงอวยพรด้วยพระหัตถ์ขวา และทรงถือพระคัมภีร์ไบเบิลอยู่ในพระหัตถ์ซ้าย ทางด้านซ้ายเป็นพระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 (Emperor Constantine IX Monomachus) และข้างขวาคือพระจักรพรรดินีโซล (Empress Zoe) ในชุดราชพิธี กำลังบริจาคให้กับฮาเกียโซเฟีย ..และมีเรื่องเล่าว่า เมื่อจักรพรรดินีโซลแต่งงาน ก็ได้เขียนภาพโมเสกนี้ขึ้น แต่เมื่อสามีสิ้นไป พระนางจึงแต่งงานใหม่ และแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 ดังนั้นจึงต้องมีการแก้ไขภาพโมเสกนี้ แต่แก้ไขเฉพาะช่วงศีรษะหรือใบหน้าเท่านั้น ช่วงตัวยังคงเป็นภาพของสามีคนเดิมของพระนาง ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นสามีคนไหน เพราะมีก่อนหน้านี้ 2 พระองค์ โดยสามีแรกคือ โรมานุส ที่ 3 (Romanus III Argyrus) ซึ่งแต่งงานตอนโซลอายุ 50 และสามีที่สอง ไมเคิลที่ 4 (Michael IV) ภาพที่เห็นปัจจุบันคือคอนสแตนตินที่ 9

วันที่เเปด - เป็นภาพพระนางมารีอุ้มพระเยซูอยู่บนตัก

และยังมีภาพโมเสกอีกอันหนึ่งอยู่ในโดมทองเหนือทางเข้า เป็นภาพพระนางมารีอุ้มพระเยซูอยู่บนตัก เราสามารถเห็นได้เมื่อเดินไปสุดทางเดินแล้วมองไปทางซ้ายมือ น่าจะวาดในศตวรรษที่ 9 แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นภาพบูรณะจากภาพดั้งเดิมในศตวรรษที่ 6 ยุคไบเซนไทน์ จริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าชม และน่าสนใจในพิพิธภัณฑ์ฮาเกียโซเฟียแห่งนี้นะคะ ไว้ถ้าเพื่อนๆ อยากไปชมด้วยตัวเอง ก็ติดต่อเราเข้ามาได้นะคะ แล้วเราจะพาคุณไปสัมผัส ย้อนเวลาในมหานครสองทวีป...กรุงคอนสแตนติโนเปิล ด้วยตัวคุณเองค่ะ ^_^

จำนวนผู้เข้าชม 26 ครั้ง