
27
Jun
2025
ภูฏาน
แนะนำที่เที่ยวเมืองบุมทัง (Bumthang) จุดกำเนิดพุทธศาสนาในภูฏาน เมืองนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง
พาทุกท่านมาทัวร์ภูฏาน (Bhutan)ที่เมืองบุมทัง (Bumthang) ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งภูฏาน
ด้วยวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาที่งดงามราวภาพวาด หุบเขาเขียวขจี วัดวาอารามเก่าแก่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบชวนให้จิตใจผ่อนคลาย
เมืองแห่งนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในภูฏาน
และได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณที่สำคัญที่สุดของประเทศ
ทำให้นักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็อยากที่จะมาเที่ยวภูฏานกันที่เมืองนี้
เพื่อตามรอยเส้นทางของพระลามะผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต และแน่นอนว่าเราก็ได้รวบรวมข้อมูลเที่ยวภูฏานของเมืองบุมทัง
(Bumthang) ทั้งในส่วนประวัติศาสตร์ของเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำมาฝากกันค่ะ
ประวัติศาสตร์ของเมืองบุมทัง (Bumthang) ดินแดนแห่งหุบเขาศักดิ์สิทธิ์และจุดกำเนิดพุทธศาสนาในภูฏาน
ในอดีตเมืองบุมทัง
(Bumthang) ถูกเรียกว่าราชอาณาจักรบุมทัง
ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายราชอาณาจักรเล็ก ๆ ภายในดินแดนของภูฏาน ก่อนที่ซับดรุง งาวัง
นัมเกล (Zhabdrung Ngawang Namgyal) จะเริ่มรวมชาติครั้งแรกในปี
ค.ศ. 1616 อาณาจักรบุมทังจึงได้กลายมาเป็นจังหวัดบุมทัง(Bumthang
Province) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 9 จังหวัดของภูฏาน
ต่อมาในปี ค.ศ. 1907 จังหวัดบุมทังก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรภูฏานในรูปแบบปัจจุบัน
โดยตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ประกอบไปด้วยหุบเขาหลัก 4 แห่งได้แก่
Chokhor, Tang, Chhume และ Ura โดยหุบเขา Chokhor นั้นเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม
ทำให้บุมทังมักถูกเรียกว่าเป็นทิเบตน้อยแห่งภูฏาน
อันเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาแบบวัชรยานอย่างลึกซึ้งนั่นเอง
ที่มาของชื่อบุมทัง
มาจากคำว่า “Bumpa” ที่หมายถึงภาชนะใส่น้ำมนต์ และคำว่า
“Thang” ที่แปลว่าทุ่งราบ เมื่อรวมกันจึงหมายถึง "ทุ่งภาชนะน้ำมนต์" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในดินแดนแห่งนี้
เรื่องราวการมาเยือนของคุรุรินโปเช (Guru Rinpoche) หรือที่รู้จักกันในนาม
"พระปัทมาสัมภวะ" (Padmasambhava) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
8 (ประมาณปี ค.ศ. 746) ถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดพุทธศาสนาในภูฏาน
โดยท่านได้เดินทางมายังบุมทังตามคำเชิญของกษัตริย์สินธุราชา (Sindhu Raja) ซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องถิ่นในสมัยนั้น ว่ากันว่ากษัตริย์ทรงป่วยหนักและถูกรังควานโดยปีศาจ
ท่านคุรุรินโปเชจึงใช้พลังจิตและพิธีกรรมทางพุทธศาสนาในการปราบปีศาจเหล่านั้น
และรักษาอาการประชวรของกษัตริย์ให้จนหายดี
จึงทำให้กษัตริย์สินธุราชาเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ
นับแต่นั้นมาพุทธศาสนาจึงได้หยั่งรากลึกในดินแดนแห่งนี้ โดยท่านคุรุรินโปเชก็ได้ก่อตั้งวัดและถ้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นหลายแห่งในบุมทัง
ซึ่งต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวภูฏานและสถานที่แสวงบุญที่สำคัญในปัจจุบัน
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำในบุมทัง (Bumthang)
ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาเมืองบุมทังมีบทบาทที่สำคัญยิ่งประวัติศาสตร์ภูฏาน โดยเฉพาะในแง่ของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสร้างวัดวาอารามที่มีสถาปัตยกรรมอันวิจิตร การทัวร์ภูฏานที่เมืองนี้จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจกันอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ

วัดกูร์เจ (Kurjey Lankhang)
วัดกูร์เจ (Kurjey Lankhang)
ที่นี่ถือได้ว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเมืองบุมทัง
เป็นหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาอันเก่าแก่ซึ่งมีความสำคัญที่สุดของภูฏาน
และเป็นที่เคารพบูชาอย่างสูงจากชาวภูฏาน ตั้งอยู่ในหุบเขา Chokhor ของบุมทัง โดยตามตำนานเล่าว่าพระคุรุรินโปเช (Guru
Rinpoche) หรือพระปัทมสัมภวะ (Padmasambhava) เคยมาประทับนั่งสมาธิที่ถ้ำภายในภูเขาหลังวัด
เพื่อปราบปีศาจที่มาคุกคามเจ้าชายของเมืองบุมทังในยุคนั้น
ซึ่งรอยประทับของพระองค์ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บนผนังหินภายในวัดจนถึงปัจจุบัน
วัดแห่งนี้ประกอบไปด้วยวิหาร 3 หลัง วิหารหลังแรก (Guru Lhakhang) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ
1652 โดย มินจูร์ เตนปา (Minjur Tenpa) ผู้ว่าการบุมทังคนแรกภายใต้การปกครองของซับดรุง งาวัง นัมเกล (Zhabdrung
Ngawang Namgyal) เป็นที่ตั้งของถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่ามีรอยประทับกายของคุรุรินโปเชอยู่
วิหารหลังที่สอง (Sampa Lhakhang) สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อูเก็น
วังชุก (Ugyen Wangchuck) ปฐมกษัตริย์แห่งภูฏานในปี ค.ศ. 1907
เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นคุรุรินโปเชขนาดมหึมาและเหล่าสาวก
วิหารหลังที่สามสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระราชินีอาชิ เกซัง โชเดน วังชุก (Ashi
Kesang Choden Wangchuck) ในปี ค.ศ. 1984 เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นขนาดใหญ่ของคุรุรินโปเช
และมีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของท่าน
วัดกูร์เจตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ
ล้อมรอบด้วยต้นสนโบราณอายุกว่า 100 ปี
ผู้คนจากทั่วประเทศรวมไปถึงนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชน
มักจะเดินทางมาเยือนที่วัดแห่งนี้เพื่อสักการะรอยประทับศักดิ์สิทธิ์และขอพร
นอกจากนี้ที่วัดยังเป็นสถานที่จัดเทศกาล "Kurjey Tshechu" ที่ยิ่งใหญ่ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี
เป็นเทศกาลเต้นระบำหน้ากากศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของคุรุรินโปเชเหนือปีศาจ
ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทศกาลที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ ให้เดินทางมาทัวร์ภูฏานกันเลยทีเดียวค่ะ

วัดจัมปา (Jampa Lhakhang) หรือวัดพระศรีอริยเมตตรัย
การคลี่พระบฏผืนยักษ์ (Unfurling of the Thongdrol)
อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในการทัวร์ภูฏาน
สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของพุทธศาสนาในเมืองบุมทัง
วัดจัมปา (Jampa Lhakhang) หรือที่รู้จักกันในนาม
วัดพระศรีอริยเมตตรัย ตั้งอยู่ในหุบเขา Chokhor เป็นหนึ่งในสองวัดที่เก่าแก่ที่สุดของภูฏานคู่กับวัดคิชูในเมืองพาโร
และยังเป็นเครื่องหมายยืนยันการมาถึงของพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้
วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 (ประมาณปี
ค.ศ. 659) โดยพระเจ้าซองเซน กัมโป (Songtsen Gampo) ผู้ปกครองทิเบต
และเป็นบุคคลสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนาในทิเบตรวมไปถึงภูมิภาคเทือกเขาหิมาลัย
ทรงเป็นผู้สร้างวัด 108 แห่งในวันเดียวทั่วทั้งทิเบตและภูฏานโดยหนึ่งในนั้นก็คือวัดจัมปาแห่งนี้นั่นเอง
ตามตำนานเล่าว่าวัดจัมปาถูกสร้างขึ้นเพื่อปราบปีศาจยักษ์ตัวเมียที่นอนพาดผ่านขวางเทือกเขาหิมาลัยเอาไว้
ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ท่านคุรุรินโปเชได้เสด็จมาเยือนที่วัดแห่งนี้และได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ที่นี่
นั่นจึงทำให้วัดจัมปามีความศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญทางศาสนามากยิ่งขึ้น
จากนั้นวัดแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะและปรับปรุงมาในหลายยุคสมัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับการบูรณะโดยกษัตริย์จิกมี
นัมเกล (Jigme Namgyal) วิหารหลักของวัดเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นพระศรีอริยเมตตรัย
(Maitreya Buddha) ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ทำให้เป็นที่มาของชื่อ "วัดพระศรีอริยเมตตรัย"
นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีรูปปั้นพระพุทธรูปอื่น ๆ
และจิตรกรรมฝาผนังโบราณที่บอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา
ภายในวัดมีวิหารเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Jangkhung Lhakhang ซึ่งชาวภูฎานเชื่อกันว่าเป็นประตูสู่ยมโลก
โดยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 1,000 องค์
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นในทุกยุคทุกสมัย
บริเวณลานวัดด้านนอกมีต้นส้มเก่าแก่ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นส้มศักดิ์สิทธิ์ที่ออกดอกออกผลตลอดทั้งปี
อันเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และพรที่วัดมอบให้กับผู้มาเยือน
นอกจากนี้ที่วัดจัมปาเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลสำคัญประจำปี 2 เทศกาล ได้แก่ เทศกาลเต้นระบำหน้ากากศักดิ์สิทธิ์ในฤดูใบไม้ร่วง Jambay
Lhakhang Drup ซึ่งจะมีการเต้นระบำไฟรอบกองไฟเพื่อชำระล้างบาป
และเทศกาล Domkhar Tshechu ซึ่งเป็นเทศกาลได้ระบำหน้ากากที่จัดขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าและท่านคุรุรินโปเช

วัดลามาย (Lamey Goenpa)
วัดลามาย (Lamey Goenpa)
ถึงแม้ว่าวัดแห่งนี้แม้จะไม่ได้เป็นสถานที่ในการทัวร์ภูฏานอันโด่งดังมากนัก
แต่ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของชาวภูฎาน วัดลาเมย์ (Lamey Goenpa) ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยลามะนัมเจล คูรุง (Lama Namgyel Kurung) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในนิกาย
Drukpa Kagyu ของทิเบต
ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านการศึกษาและปัญญาทางศาสนา
วัดแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นอารามและศูนย์กลางทางการศึกษาสำหรับพระภิกษุสงฆ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการฝึกฝนและศึกษาหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาแบบภูฏาน
และใช้เป็นที่พำนักของเจ้าขุนมูลนายท้องถิ่น
ชื่อ “ลาเมย์” หมายถึง “ผู้รู้ธรรมขั้นสูง” หรือ “พระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่”
ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของผู้ก่อตั้งวัดนี้ ส่วน “โกนปา”
หรือ “โกเอ็มบา” แปลว่า
“วัด” หรือ “อาราม”
จึงอาจแปลได้ว่า “วัดของพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่”
วัดลาเมย์ถูกสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของภูฏาน
โดยใช้โครงสร้างไม้และผนังดินอัดที่มีความแข็งแรงกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
ภายในวัดประกอบด้วยวิหารหลักหลายแห่งซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูป
และรูปปั้นของพระลามะองค์สำคัญ มีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของนักบวช
แท่นบูชาที่ประดับด้วยผ้าไหม ธูปหอม และของถวายจากผู้ศรัทธา
บรรยากาศภายในวัดล้อมรอบด้วยป่าเขาและทุ่งหญ้าที่มีความเงียบสงบ
จึงเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสำหรับการบำเพ็ญภาวนาและปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งยังทำให้ผู้มาเยือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสงบและเป็นส่วนตัว
ทำให้รู้สึกจิตใจผ่อนคลาย
แม้ในปัจจุบันวัดนี้จะไม่ได้มีบทบาทใหญ่ในพิธีกรรมระดับชาติ แต่ก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของการทัวร์ภูฏาน และยังคงเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านและพระสงฆ์ในท้องถิ่นใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
เช่น งานสมาธิบำเพ็ญเพียร สวดมนต์ และวันสำคัญทางพุทธศาสนา
รวมไปถึงเป็นสถานที่จัดเทศกาล "Kurjey
Tshechu" ที่ยิ่งใหญ่ทุกปี โดยเป็นเทศกาลเต้นระบำหน้ากากศักดิ์สิทธิ์
ที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของคุรุรินโปเชเหนือปีศาจ
พระราชวังวังเดือนเชลิง (Wangduechhoeling Palace)
พระราชวังวังเดือนเชลิง (Wangduechhoeling Palace)
หนึ่งในสถานที่ทัวร์ภูฏานที่ไม่ควรพลาด
พระราชวังวังดิโชลิง (Wangdichholing Palace) ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา
Chokhor ถือเป็นพระราชวังแห่งแรกที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พำนักถาวรของราชวงศ์ภูฏาน
โดยเป็นพระราชวังที่ไม่มีลักษณะของป้อมปราการ (dzong) เหมือนวังในยุคก่อน
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1857 โดย เจอ เคนโป โซนัม ท็อปเก (Trongsa
Penlop Sonam Topgay) ผู้ปกครองภูมิภาคตงสา (Trongsa) ในขณะนั้น
และต่อมาได้กลายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชาธิบดีองค์แรกของภูฏาน คือ
สมเด็จพระเจ้าอูเก็น วังชุก (Ugyen Wangchuck) ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี
ค.ศ. 1907
พระราชวังแห่งนี้จึงถือเป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์วังชุก
และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากระบบการปกครองโดยลามะและขุนนางท้องถิ่น
ไปสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์
พระราชวังถูกสร้างขึ้นตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมภูฏานแท้ ๆ โดยมีโครงสร้างไม้และหินอย่างแข็งแรง
ที่ไม่มีการใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว มีหลังคาทรงสูงแบบโบราณ
ประดับด้วยลวดลายและสีสันสดใสตามคติความเชื่อของพุทธศาสนา
ภายในมีห้องพักหลายห้องที่ยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้เป็นอย่างดี
รวมถึงห้องพระที่ใช้สำหรับสวดมนต์และพิธีกรรมทางศาสนา
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันพระราชวังดิโชลิงจะไม่ได้ใช้เป็นที่พำนักของกษัตริย์อีกต่อไป
แต่ก็ยังคงได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี และเปิดให้ผู้ที่มาเที่ยวภูฏานได้เยี่ยมชมบางส่วน
เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติได้อย่างใกล้ชิดเมื่อมาทัวร์ภูฏาน
บริเวณด้านนอกถูกล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งทุ่งหญ้าเขียวขจี
ต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ และภูเขาสูงที่ล้อมรอบ
จึงทำให้พระราชวังแห่งนี้มอบบรรยากาศที่เงียบสงบและสง่างามได้ในเวลาเดียวกัน
เกร็ดความรู้
การมาทัวร์ภูฏานที่บุมทังไม่ได้มีเพียงแค่โบราณสถานหรือวัดวาอารามเท่านั้น
แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม
และธรรมชาติอันงดงาม สถานที่ท่องเที่ยวภูฏานที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นรอยประทับศักดิ์สิทธิ์ของคุรุรินโปเชที่วัดกูร์เจ
ลาคัง สัมผัสความเก่าแก่และความศักดิ์สิทธิ์ของวัดจัมปา ลาคัง
สถานที่ซึ่งเป็นพยานแห่งการมาถึงของพุทธศาสนา
ชมความสง่างามของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างพระราชวังวังดิโชลิง
ซึ่งแต่ละแห่งล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวและตำนานทางประวัติศาสตร์
ดังนั้นใครที่วางแผนมาทัวร์ภูฏานแล้วต้องการสัมผัสแก่นแท้ของจิตวิญญาณแห่งหิมาลัย
ดินแดนแห่งรากเหง้าของศาสนาพุทธในภูฏาน
เมืองบุมทังคือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการนี้ค่ะ
ซึ่งการมาเยือนบุมทังจะทำให้เราได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ว่าทำไมภูฏานถึงได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งความสุขได้อย่างแท้จริง
