
01
Jun
ภูฏาน
คู่มือเที่ยว ภูฏาน วางแผนยังไง ควรไปที่ไหน
พาทุกท่านไปทัวร์ภูฏาน (Bhutan) ดินแดนที่เงียบสงบและงดงามราวกับภาพฝัน ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่ตระการตา สถานที่ท่องเที่ยวภูฏานที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง สัมผัสกับวิถีชีวิตที่ยังคงเรียบง่ายและเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา บนดินแดนที่ผู้คนอยู่ภายใต้วิถีชีวิตด้วยหลักแนวคิดความสุขมวลรวมของประชาชาติ (GNH) ซึ่งภูฏานไม่เพียงแต่จะมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวอันแสนประทับใจ แต่ยังมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง ซึ่งเราก็ได้รวบรวมข้อมูลเที่ยวภูฏานที่จำเป็น รวมไปถึงรายละเอียดต่าง ๆ ควรรู้ก่อนไปเที่ยวภูฏานมาฝากกันค่ะ
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ ภูฏาน
ประเทศภูฏาน (Bhutan) อ่านว่า พู-ตาน มีชื่อทางการว่าราชอาณาจักรภูฏาน (Kingdom of Bhutan) ชื่อท้องถิ่นคือ འབྲུག་ཡུལ་ (Druk Yul) แปลว่า "แผ่นดินแห่งมังกรสายฟ้า" โดยมีเมืองหลวงคือเมืองทิมพู (Thimphu) เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยตอนตะวันออก มีความเป็นเอกลักษณ์ในด้านวัฒนธรรม ศาสนา และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยยึดหลัก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness) แทนการวัดพัฒนาด้วย GDP อย่างที่ประเทศอื่นใช้ และนี่คือข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับภูฏานที่ควรทราบกันไว้ก่อนวางแผนไปทัวร์ภูฏานกันค่ะ

เที่ยวภูฏาน
ที่ตั้ง ภูมิประเทศ ภูฏาน
ภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในเอเชียใต้ ตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันออก ติดกับจีนบริเวณเขตปกครองตนเองทิเบตทางทิศเหนือ และอินเดียทางทิศใต้บริเวณรัฐสิกขิม เบงกอลตะวันตก ติดกับรัฐอัสสัมทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และรัฐอรุณาจัลทางทิศตะวันออก เป็นประเทศไม่มีทางออกสู่ทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยภูเขาสูงชันและเทือกเขาที่สลับซับซ้อน มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 38,394 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ถึง 98.8% ของภูฏานเป็นพื้นที่ภูเขา ทำให้ภูฏานเป็นประเทศที่มีภูเขามากที่สุดในโลก และนั่นจึงทำให้ระดับความสูงของประเทศนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งมีตั้งแต่ 200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลบริเวณเชิงเขาทางตอนใต้ ไปจนถึงมากกว่า 7,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลบริเวณทางตอนเหนือของประเทศ โดยจุดที่สูงที่สุดคือยอดเขากังการ์ เพินซุม (Gangkhar Puensum) ซึ่งมีความสูงถึง 7,570 เมตร (24,840 ฟุต) และถือเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลกที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตได้ และจุดที่อยู่ต่ำที่สุดคือระดับความสูง 98 เมตรจากระดับน้ำทะเล บริเวณหุบเขาแม่น้ำ Drangme Chhu โดยเป็นจุดที่แม่น้ำไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศอินเดีย ซึ่งความหลากหลายทางภูมิศาสตร์นี้ทำให้ภูฏานมีสภาพภูมิอากาศที่หลากหลายด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังทำให้ภูฏานเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศในระดับที่อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง โดยมีพื้นที่ป่าปกคลุมอยู่ถึงกว่า 64% ของทั้งประเทศ

เที่ยวภูฏาน
การขอวีซ่าเข้าประเทศภูฏาน
นักท่องเที่ยวทุกคน (ยกเว้นชาวอินเดีย บังกลาเทศ และมัลดีฟส์ และในกรณีที่ได้รับจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการจากชาวภูฏาน) ต้องขอวีซ่าผ่านบริษัททัวร์ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลภูฏาน โดยจะต้องชำระค่าธรรมเนียม SDF (Sustainable Development Fee) ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/คืน สำหรับผู้ใหญ่ ส่วนเด็กจะได้รับส่วนลดพิเศษ ซึ่งข้อมูลค่าธรรมเนียมอาจเปลี่ยนแปลงได้ จึงควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดกับบริษัททัวร์หรือเว็บไซต์ของรัฐบาล และต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่าครั้งเดียวที่ไม่สามารถขอคืนได้จำนวน 40 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักท่องเที่ยวควรเตรียมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขอวีซ่าไปภูฏานเอาไว้ให้พร้อม โดยแนะนำให้ตรวจสอบกับบริษัททัวร์ที่เลือกเอาไว้ได้ค่ะ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถติดต่อกับบริษัททัวร์ที่ภูฏานได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องซื้อทัวร์จากบริษัทในเมืองไทย โดยมีขั้นตอนการขอวีซ่า การชำระค่าธรรมเนียม และติดต่อผู้นำเที่ยว ได้ที่เว็บไซต์ https://bhutan.travel/visa

การขอวีซ่าเข้าประเทศภูฏาน
ภาษาประจำถิ่นและภาษาสื่อสารของประเทศภูฎาน
ภาษาประจำชาติของภูฏานคือ ภาษาซงคา (Dzongkha) ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ การศึกษา สื่อ รวมไปถึงเอกสารทางการต่าง ๆ โดยเป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ "นกัลปา" (Ngalop) ที่มีรากฐานมาจากภาษาทิเบต ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กันอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศ ในขณะที่ภาษาอื่น ๆ เช่นภาษาท้องถิ่นและภาษาชนกลุ่มน้อย ก็มีอีกกว่า 19 ภาษาที่ถูกใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนในแต่ละภูมิภาค เช่น ช็อกเคย์ (Chöke) ภาษาทิเบตเก่าแก่ที่ใช้ในพิธีกรรมและคัมภีร์ทางพุทธศาสนารวมไปถึงวรรณกรรมต่าง ๆ, ชาร์โชปก้า (Sharchopkha) ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ “ชาร์โชป” ในภาคตะวันออกของภูฏาน ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นที่มีผู้พูดมากที่สุดรองจากภาษาซงคา, ลอตซัมคา (Lhotshamkha หรือ Nepali) ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์โลชัมปา เชื้อสายเนปาล ที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศ และภาษาอื่น ๆ เช่น คัมชัต (Kurtöp), นา (Nupbi), จักกา (Chali), ซังกลา (Sangkha), กาลิงกา (Kheng), บัมทับกา (Bumthangkha) รวมไปถึงภาษาเฉพาะถิ่นอื่น ๆ ที่ใช้กันในแต่ละหุบเขาหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ในขณะที่ภาษาสื่อสารของประเทศภูฏาน นอกจากการใช้ภาษาซงคาซึ่งเป็นภาษาราชการแล้ว ก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการศึกษาและธุรกิจ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบการศึกษาและเอกสารบางประเภท โดยข้าราชการและคนรุ่นใหม่ของชาวภูฏานส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี

ภาษาที่ใช้ในภูฏาน
การเดินทางด้วยเครื่องบินมีสายการบินอะไรบ้าง
การเดินทางมายังภูฏานนิยมเดินทางโดยเครื่องบินไปลงที่สนามบินนานาชาติพาโร (Paro International Airport: PBH) ซึ่งเป็นสนามบินหลักและสนามบินระหว่างประเทศแห่งเดียวของประเทศภูฏาน สายการบินที่ให้บริการ ได้แก่ ดรุกแอร์ Drukair (Royal Bhutan Airlines) ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของภูฏาน และ ภูฏานแอร์ไลน์ Bhutan Airlines สายการบินเอกชนแห่งแรกของภูฏานที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2011 โดยสามารถต่อเครื่องได้จากเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ กัลกัตตา เดลี สิงคโปร์ หรือกาฐมาณฑุ โดยในประเทศไทยจะเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi Airport - BKK) ค่ะ

เที่ยวภูฏาน
เวลาที่ภูฏาน
เวลาในประเทศภูฏาน Bhutan Time (BTT) ถูกกำหนดให้เร็วกว่าเวลาสากลเชิงพิกัด 6 ชั่วโมง (UTC+6) โดยจะช้ากว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง

เวลาที่ภูฏาน
ปลั๊กไฟฟ้าที่ใช้ในภูฏาน
สำหรับใครที่เตรียมตัวไปทัวร์ภูฏาน แนะนำให้เตรียมปลั๊กแปลงไฟแบบ Universal ติดไปด้วยค่ะ เพราะที่ภูฏานจะใช้กระแสไฟฟ้า 220 โวลต์ โดยเป็นปลั๊กแบบ 3 ขา 2 ขา ก็ใช้ได้หมดแล้ว เหมือนประเทศไทยเลย จร้า ( อัพเดท เมื่อวันที่ 30/4/68) (Type A, Type C ,Type D, Type G) ดูจากรูปภาพได้เลยนะจร้า

ปลั๊กไฟฟ้าที่ใช้ในภูฏาน
สกุลเงินที่ใช้ในภูฏาน
ประเทศภูฏานใช้สกุลเงินนุลตรัม (Ngultrum: BTN) ซึ่งมีค่าเท่ากับรูปีอินเดีย (INR) และเงินรูปีอินเดียก็สามารถใช้ได้ทั่วไปในภูฏาน ซึ่งถ้าหากใครวางแผนทัวร์อินเดียไปพร้อมกับการทัวร์ภูฏานด้วย ก็สามารถแลกเงินรูปีไปอย่างเดียวก็ได้ค่ะ

สกุลเงินที่ใช้ในภูฏาน
ภูมิอากาศฤดูกาลประเทศภูฏาน
ภูมิอากาศของภูฏานมีความหลากหลายตามระดับความสูงของพื้นที่ โดยบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจะมีภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนชื้น บริเวณที่ราบสูงตอนกลางมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น ในขณะที่ทางตอนเหนือของประเทศจะมีภูมิอากาศแบบขั้วโลก ซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีบนยอดเขาหิมาลัย นอกจากนี้ประเทศภูฏานยังได้รับผลกระทบจากลมมรสุมเช่นเดียวกับของอินเดีย ส่งผลให้ทางภูฏานตะวันตกมีฝนตกประมาณร้อยละ 60 ถึง 90 ของปริมาณน้ำฝนทั้งหมด
อุณหภูมิของภูฏานจะมีความแตกต่างกันออกไปตามระดับความสูงของพื้นที่ พื้นที่ตอนกลางส่วนใหญ่ของประเทศจะมีสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี ในเมืองหลวงทิมพูซึ่งอยู่ที่ความสูง 2,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในช่วงฤดูมรสุมจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 15-26 องศาเซลเซียส ในขณะที่ช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิจะลดลงเหลือประมาณ -4 ถึง 16 องศาเซลเซียส ในภาคใต้ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นจะมีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสม่ำเสมออยู่ระหว่าง 15-30 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี และบางครั้งอาจมีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อน
ประเทศภูฏานมีฤดูกาลทั้งหมด 5 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูมรสุม ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ หรือแบ่งออกเป็น 4 ฤดู โดยรวมฤดูมรสุมอยู่ในช่วงฤดูร้อน
• ฤดูร้อน (Summer) เริ่มต้นในช่วงกลางเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนมิถุนายน โดยจะมีฝนตกเป็นระยะ อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 25-30 องศาเซลเซียสในทางภาคใต้ของประเทศ เหมาะสำหรับการเยี่ยมชมเมืองทางตอนเหนือและที่สูงเนื่องจากยังมีอากาศที่ค่อนข้างเย็น หรือเดินเล่นตามหมู่บ้านชมวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
• ฤดูมรสุม (Monsoon) มรสุมฤดูร้อนจะกินเวลาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกันยายน ซึ่งโดยทั่วไปมักรวมอยู่กับฤดูร้อน ทำให้แบ่งฤดูกาลของภูฏานออกเป็น 4 ฤดู โดยในช่วงนี้จะมีฝนตกหนักบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในภาคตะวันตกและภาคใต้เกิดฝนตกหนัก มีความชื้นสูง อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม รวมไปถึงมีหมอกหนาทึบและฟ้ามืดครึ้ม ทัศนวิสัยไม่ค่อยดี หากเลือกมาภูฏานในช่วงนี้ต้องเช็คสภาพอากาศและวางแผนท่องเที่ยวกันดี ๆ ก่อนค่ะ
• ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) เริ่มในช่วงปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม ไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ท้องฟ้าแจ่มใสและมีแดดจัด อากาศเย็นสบาย บริเวณพื้นที่สูงอาจเริ่มมีหิมะตก เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทัวร์ภูฏานเลยทีเดียวค่ะ
• ฤดูหนาว (Winter) เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม มีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นทั่วประเทศ และจะมีหิมะตกบริเวณพื้นที่ซึ่งมีความสูง 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูหนาวจะพัดพาลมแรงผ่านช่องเขาสูง อุณหภูมิในบางพื้นที่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
• ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เริ่มในช่วงเดือนมีนาคมและยาวนานไปจนถึงกลางเดือนเมษายน ภูมิอากาศโดยทั่วไปจะค่อนข้างแห้งแล้ง อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20 องศาเซลเซียสในเขตเมือง ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกไม้ป่าบานสะพรั่งทั่วภูเขา เป็นช่วงที่ธรรมชาติของภูฏานมีความสวยงามสดใสมากที่สุดในรอบปีค่ะ
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทัวร์ภูฏาน แนะนำให้มากันในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งถือได้ว่าเป็น High Season ของการทัวร์ภูฏานเลยทีเดียวค่ะ เป็นช่วงที่อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศเย็นสบายกำลังดี เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมกลางแจ้งและท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มอิ่ม

ภูมิอากาศฤดูกาลประเทศภูฏาน
ศาสนาประเทศภูฏาน
ศาสนาประเทศภูฏานรัฐธรรมนูญภูฏานได้ประกาศให้ศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน (Vajrayana) เป็นศาสนาประจำชาติ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นอัครศาสนูปถัมภก ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธคิดเป็นประมาณร้อยละ 75 ของประเทศ ขณะที่ชาวโลซัมปา (ชาวภูฏานเชื้อสายเนปาล) ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศโดยมากนับถือศาสนาฮินดู นอกจากนี้ก็ยังมีผู้นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามอยู่เล็กน้อย

ศาสนาประเทศภูฏาน
วัฒนธรรมประเพณีประเทศภูฏาน
ภูฏานมีมรดกทางวัฒนธรรมอันหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากถูกแยกตัวออกจากส่วนอื่น ๆ ของโลกจนถึงช่วงปี ค.ศ 1960 นั่นจึงทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศภูฏานนั้นเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ซึ่งประเพณีวัฒนธรรมอันน่าสนใจบางส่วนที่มีอยู่ในภูฏาน มีดังนี้
ภูฏานมีชุดมารยาทที่เรียกว่า "ดริกลัม นัมซา" (Driglam Namzha) ซึ่งริเริ่มโดย ซับดรุง งาวัง นัมเกล (Zhabdrung Ngawang Namgyel) ที่ได้แทรกซึมอยู่ในหลายแง่มุมการใช้ชีวิตของชาวภูฏาน ซึ่งมารยาทเหล่านี้ก็มีรากฐานมาจากหลักปฏิบัติของพุทธศาสนา โดยเฉพาะในแง่ของโลกียะ ซึ่ง Driglam Namzha นั้นเป็นแนวทางปฏิบัติที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล เช่น พฤติกรรม ความประพฤติ และระเบียบการแต่งกาย ไปจนถึงระดับการบริหารของรัฐและวัดในระดับพระสงฆ์ เช่น การทักทาย ซึ่งตามธรรมเนียมชาวภูฏานจะไม่นิยมจับมือทักทายกัน แต่จะใช้การโค้งคำนับ ซึ่งก็มีการแบ่งระดับของการโค้งด้วยเช่นกัน เช่นถ้าอีกฝ่ายมีตำแหน่งที่สูงกว่าควรโค้งให้ลึก แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีตำแหน่งต่ำกว่าก็ให้โค้งเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งนี้อิทธิพลของความทันสมัยก็ทำให้คนรุ่นใหม่บางส่วนจะใช้การจับมือทักทายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้กฎระเบียบด้านมารยาทของภูฏานจะเน้นให้พลเมืองทุกคนเคารพต่อสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะผู้ใหญ่และผู้อาวุโส ยึดมั่นในสถาบันครอบครัวและการแต่งงาน ทุ่มเทต่อหน้าที่ของพลเมือง ในขณะที่พฤติกรรมการชี้ด้วยนิ้วหรือเท้า การเดินข้ามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแตะศีรษะของผู้อื่น ถือเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพและไม่เหมาะสมตามหลักวัฒนธรรม ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษที่รุนแรงแต่ก็จะถูกว่ากล่าวตักเตือนได้ สำหรับมารยาทในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ห้ามไม่ให้สวมรองเท้าหรือหมวกในวัด และห้ามส่งเสียงดังหรือถ่ายภาพด้วยเสียงชัตเตอร์ภายในวัดด้วยเช่นกัน
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมของภูฏาน ถือเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนจะสามารถมองเห็นได้รองจากธรรมชาติอันงดงาม สามารถพบอาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของภูฏานได้แทบทุกที่ โดยเป็นการผสมผสานอย่างสร้างสรรค์ระหว่างสถาปัตยกรรมแบบทิเบต อินเดีย และเนปาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของสิ่งก่อสร้างทางศาสนา เช่น ซอง (Dzong), ลาคัง (Lhakhang) และ โชเตน (Chorten) ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสถาปัตยกรรมภูฏานคือสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาก็ถือว่าไม่ผิดแต่อย่างใด ในขณะที่บ้านเรือนทั่วไปมักจะใช้วัสดุจากธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้แผ่น ดินโคลน หิน ไม่มีการใช้ตะปู แต่จะใช้เทคนิคการเข้าลิ่มแบบหางนก (dovetail) แทน โดยหลังจากก่อสร้างเสร็จแล้ว บ้านมักจะทาสีขาวทั้งหลังและวาดภาพหรือลวดลายเกี่ยวกับศาสนาทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง เช่น คาถาหรือภาพสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา โดยที่ลักษณะของบ้านในแต่ละภูมิภาคก็จะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม เช่นบ้านทางภาคใต้มักจะใช้ไม้ไผ่เป็นหลักเนื่องจากหาได้ง่าย บ้านทางภาคเหนือจะสร้างด้วยหินแบบเรียบง่ายเพราะทนทานต่ออากาศหนาว ในขณะที่บ้านทางภาคตะวันตกมักจะใช้รูปแบบดั้งเดิมที่เป็นดินเหนียว ดินโคลน และไม้จำนวนมาก ซึ่งก่อนจะสร้างบ้านหรือสิ่งก่อสร้างใด ๆ เจ้าของบ้านจะต้องปรึกษากับหมอดูหรือโหราจารย์ก่อน เพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสมในการก่อสร้าง และทำพิธีกรรมเพื่อขจัดวิญญาณร้ายออกจากพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์บางประการที่ชาวบ้านต้องยึดถือในการสร้างบ้าน เช่น การเว้นพื้นที่สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการวางทิศทางของอาคารตามความเชื่อ เป็นต้น
ดนตรีและการเต้นรำ
วัฒนธรรมและประเพณีส่วนใหญ่ของภูฏานมีรากฐานมาจากพุทธศาสนา รวมไปถึงดนตรีและการเต้นรำ โดยบทเพลงและท่าเต้นดั้งเดิมของภูฏานมักได้รับการแต่งขึ้นโดยพระลามะและพระสงฆ์ ซึ่งดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิมที่รู้จักกันดีได้แก่ โบเดรา (Boedra), ซุงดรา (Zhhungdra), เจ (Zhey) และ เจ็ม (Zhem) รวมถึงซังโม (Tsangmo), ออซา (Ausa), อะโล (Alo), คอเร (Khorey) และ ยูดรา (Yuedra) ดนตรีเหล่านี้มักจะใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านเช่น ชิวัง (Chiwang) เครื่องสายสองสายคล้ายไวโอลิน, ดรัมเญน (Dramnyen) เครื่องสายคล้าย rebec ขนาดใหญ่, ลิงม์ (Lingm) ขลุ่ยหกรู, อังลี (Aungli) แตรแบบดั้งเดิม ในขณะที่ริกซา (Rigsar) เป็นแนวดนตรีสมัยใหม่ของภูฏาน ซึ่งเริ่มแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1960 โดยมีการใช้เครื่องดนตรีตะวันตกและภาษาท้องถิ่นร่วมด้วย แนวดนตรีนี้ได้รับความนิยมมากจนดนตรีพื้นบ้านแบบดั้งเดิมถูกนำมาใช้เล่นเฉพาะในงานเฉลิมฉลองสำคัญ ในขณะที่อิทธิพลจากโลกาภิวัฒน์ทำให้แนวดนตรีสมัยใหม่เช่น ป๊อป ร็อก แร็ป และอื่น ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทในหมู่คนรุ่นใหม่ของภูฏานมากขึ้น
ศิลปะและหัตถกรรม
ศิลปหัตถกรรมของภูฏานก็มีความเชื่อมโยงกับศาสนาอย่างแนบแน่นเช่นเดียวกับดนตรี ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด บทกวี ประติมากรรม และละครเวที ก็มักสะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ (หรือในตำนาน) และสื่อถึงเรื่องราวอันกล้าหาญของพวกเขา ซึ่งรวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน โดยในภูฏานศิลปะและหัตถกรรมดั้งเดิมจะถูกจัดแบ่งออกเป็น 13 ประเภท ที่รู้จักกันในชื่อ โซริก ชูซุม (Zorig Chusum) ได้แก่ ชิงโซ (Shingzo) งานไม้, โดโซ (Dozo) งานก่อสร้างด้วยหิน, พาโซ (Parzo) งานแกะสลัก, ลาซโซ (Lhazo) การวาดภาพ, จินโซ (Jinzo) งานปั้น, ลุกโซ (Lugzo) งานหล่อทองสัมฤทธิ์, การ์โซ (Garzo) งานตีเหล็ก, โตรโก (Troeko) การทำเครื่องประดับ, ชาร์โซ (Tsharzo) การสานด้วยไม้ไผ่หรือหวาย, ทักโซ (Thagzo) การทอผ้า, เชมโซ (Tshemzo) การตัดเย็บ ปัก และประดับลวดลาย (Appliqué), ชักโซ (Shagzo) การกลึงไม้ และ เดโซ (Dezo) การทำกระดาษด้วยมือ ซึ่งตามตำนานเล่าว่า เตอโตน เพมา ลิงปา (Tertoen Pema Lingpa) เป็นผู้ริเริ่มนำศิลปะและหัตถกรรมเหล่านี้เข้ามาในภูฏาน ต่อมา ซับดรุง งาวัง นัมเกล ได้ก่อตั้งสถาบันเพื่อการเรียนรู้ศิลปะแขนงต่าง ๆ ส่งผลให้ศิลปะเหล่านี้ได้รับการสืบทอดและพัฒนา โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หัตถกรรมภูฏานโดยเฉพาะงานสิ่งทอนั้นได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งในด้านคุณภาพและความงดงามที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษารากวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาได้อย่างสร้างสรรค์
วรรณกรรม
วรรณกรรมของภูฏานส่วนใหญ่มีรูปแบบเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ ซึ่งหมายถึงการเล่าต่อกันด้วยวาจา ไม่ว่าจะเป็นนิทานพื้นบ้าน ชีวประวัติ เรื่องเล่าท้องถิ่น ตำนาน และพงศาวดารในอดีต ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการบอกเล่า ถึงแม้ว่าจะมีเอกสารที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่มาก แต่เนื้อหาส่วนใหญ่กลับถูกเขียนด้วยภาษาจกรี (Choekay) และภาษาทิเบตเก่าแก่ซึ่งยากต่อการเข้าถึงของประชาชนทั่วไป ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีการศึกษาสูงในภูฏานเองก็อาจไม่มีความเชี่ยวชาญในการอ่านภาษาโบราณเหล่านี้ นั่นจึงทำให้วรรณกรรมของภูฏานยังคงเป็นสมบัติล้ำค่าที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความศรัทธาในศาสนา ซึ่งรอการสืบทอดและแปลความหมายให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในยุคสมัยใหม่ต่อไป
การแต่งงาน
วัฒนธรรมการแต่งงานในภูฏานไม่ได้เน้นความยิ่งใหญ่ของพิธีเฉลิมฉลอง แต่ให้ความสำคัญกับพิธีกรรมและความเหมาะสมของคู่สมรสเป็นหลัก โดยทั่วไปงานแต่งงานจะจัดอย่างเรียบง่าย มีเพียงการมอบผ้าคาดไหล่ (kha-dar) และของขวัญเล็กน้อยจากเครือญาติใกล้ชิดเท่านั้น อย่างไรก็ตามงานแต่งงานแบบหรูหราก็ยังมีให้เห็นในกลุ่มผู้มีฐานะด้วยเช่นกัน ซึ่งในอดีตการแต่งงานมักเป็นแบบคลุมถุงชน แต่ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมานิยมการแต่งงานด้วยความรักกันมากขึ้น โดยภูมิภาคต่าง ๆ ก็มีธรรมเนียมการแต่งงานที่แตกต่างกันออกไป เช่นทางตะวันตกมักจะเป็นฝ่ายชายที่ไปอาศัยอยู่บ้านภรรยาหลังแต่งงาน และผู้หญิงยังคงเป็นผู้สืบทอดที่ดิน ในขณะที่ทางตะวันออกจะตรงข้ามกัน นอกจากนี้บางพื้นที่ยังมีการแต่งงานแบบมีคู่หลายคนที่เรียกว่า Polyandry (ภรรยาหลายสามี) ซึ่งพบได้ในชาวภูเขา โดยพี่น้องผู้ชายในครอบครัวเดียวกันจะแต่งงานกับผู้หญิงเพียงคนเดียว และ Polygamy (สามีมีภรรยาหลายคน) ที่มักพบในภาคตะวันตก โดยผู้หญิงที่แต่งงานเหล่านั้นมักเป็นพี่น้องกันเอง
พิธีศพ
ตามความเชื่อทางพุทธศาสนาของชาวภูฏาน การตายไม่ได้ถือเป็นจุดจบแต่คือจุดเริ่มต้นของบทใหม่ ที่วิญญาณจะเดินทางไปเกิดใหม่ยังภพภูมิอื่น ด้วยเหตุนี้งานศพของภูฏานจึงมีการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งวิญญาณอย่างสงบและปลอดภัย พิธีกรรมจะเน้นในวันที่ 7, 14, 21 โดยเฉพาะวันที่ 49 หลังเสียชีวิต ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นช่วงที่วิญญาณยังคงอยู่ในภาวะระหว่างภพ การตั้งธงมนต์ การถวายอาหารและเครื่องดื่มจึงเป็นส่วนสำคัญของการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ โดยทั่วไปนิยมการเผาศพมากกว่าการฝัง แต่ก็มีพิธีกรรมในบางพื้นที่ที่จะเป็นการนำร่างไปวางไว้บนยอดเขาหรือหน้าผาให้แรงกิน ถือเป็นการแสดงความเมตตาครั้งสุดท้ายต่อสัตว์ที่หิวโหย ซึ่งการพูดคุยเรื่องความตายของชาวภูฏานนั้นเป็นสิ่งที่ถูกฝังกันมาตั้งแต่วัยเด็ก เด็ก ๆ มักจะได้รับการสั่งสอนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ความสำคัญของการทำดีเพื่อสะสมบุญและเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่า
การเกิด
ในภูฏานการเกิดของทารกถือเป็นเหตุการณ์แห่งความยินดี โดยในช่วง 3 วันแรกหลังคลอดแม่และลูกจะถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามไม่ให้ญาติหรือแขกมาเยี่ยม และแม่ก็จะไม่พูดคุยกับใครในช่วง 3 วันนี้จนกว่าจะถึงพิธีชำระล้าง (Lhabsang) ในวันที่ 4 จึงจะถือว่าเข้าสู่ความบริสุทธิ์และเปิดรับคนอื่นได้ ซึ่งในระหว่างการตั้งครรภ์จนถึงคลอดจะมีการประกอบพิธีเพื่อปกป้องทั้งแม่และเด็ก เช่น Jabzhey และ Lhabsang เพื่อเสริมความปลอดภัยและความเป็นสิริมงคล ในขณะที่การตั้งชื่อเด็กจะไม่ใช่หน้าที่ของพ่อแม่ แต่จะมอบให้พระลามะหรือนักบวชเป็นผู้ตั้งชื่อ พร้อมกับให้พรและขอความคุ้มครองจากเทพประจำท้องถิ่นเพื่อช่วยให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีชีวิตที่ดี โดยภายในไม่กี่วันหลังการคลอดครอบครัวมักจะไปหานักพยากรณ์เพื่อจัดทำดวงชะตาที่เรียกว่า (Ketsi) ซึ่งอิงจากวัน เดือน ปี และเวลาเกิด รวมถึงดวงชะตาของพ่อแม่ โดยดวงชะตานี้จะทำนายอุปสรรคหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำพิธีแก้เคล็ดหากจำเป็น ซึ่งบางครั้งยังกล่าวถึงชาติภพก่อนของเด็ก และเหตุผลที่เขากลับมาเกิดในชาตินี้ด้วย
การตั้งชื่อ
ในภูฏานชื่อและนามสกุลที่เหมือนกัน ไม่ได้สื่อถึงความเกี่ยวข้องทางเครือญาติแต่อย่างใด ยกเว้นในกรณีของราชวงศ์ เช่น วังชุก (Wangchuck) และตระกูลชั้นสูงบางกลุ่ม เช่น ตระกูลดอร์จิ (Dorji) ที่ยังคงใช้นามสกุลเป็นตัวบ่งชี้สายตระกูล โดยการตั้งชื่อจะแฝงไปด้วยความเชื่อทางศาสนาและความเป็นมงคล ซึ่งพ่อแม่จะไม่ได้เป็นผู้ตั้งชื่อให้ลูกเอง แต่จะมอบหมายให้พระลามะหรือนักบวชเป็นผู้ตั้งชื่อ ในบางครั้งปู่ย่าตายายอาจได้รับสิทธิพิเศษในการร่วมตั้งชื่อด้วยเช่นกัน ซึ่งชื่อของชาวภูฏานจำนวนมากมักจะซ้ำกันทั้งชื่อแรกและชื่อหลัง จึงทำให้การจำแนกบุคคลจำเป็นที่จะต้องอาศัยบริบทหรือข้อมูลอื่น ๆ ประกอบไปด้วยนอกจากการดูชื่อหรือนามสกุลเพียงอย่างเดียว

วัฒนธรรมประเพณีประเทศภูฏาน
ชนชาติประเทศภูฏาน
ประชากรในประเทศภูฏานประกอบไปด้วย 3 เชื้อชาติหลัก ๆ ได้แก่ ชาร์โชป (Sharchops) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออก นาล๊อบ (Ngalops) ชาวภูฏานที่มีเชื้อสายทิเบตที่อาศัยอยู่บริเวณทางภาคตะวันตกของประเทศ และ โชซัม (Lhotshams) ชาวภูฏานเชื้อสายเนปาลที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ ซึ่งในปัจจุบันถูกรัฐบาลภูฏานพยายามผลักดันให้กับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมในเนปาล นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายกลุ่มในภูฏาน เช่น กลุ่มชนเผ่า กลุ่มชาวทิเบต และกลุ่มชนพื้นเมืองอื่น ๆ

ชนชาติประเทศภูฏาน
การแบ่งเขตการปกครองประเทศภูฏาน
- ปาโร (Paro),
- พูนาคา (Punakha),
- ฮา (Haa),
- วังดีโพดรัง (Wangdue Phodrang),
- ตงซา (Trongsa),
- บุมทัง (Bumthang),
- ชูคา (Chukha),
- ซัมตเซ (Samtse),
- ทาชิยังซี (Trashiyangtse),
- ทาชิแกง (Trashigang),
- เปมากัตเชล (Pemagatshel),
- มงการ์ (Mongar),
- ลุนซี (Lhuentse),
- เซียร์ปัง (Sarpang),
- เซ็มกังก์ (Zhemgang),
- ดากานา (Dagana),
- ซาแจง (Tsirang),
- แซมดรุปจงคาร์ (Samdrup Jongkhar),
- แซมดริปซอง (Samdrupcholing)
แต่ละแห่งมีผู้ว่าราชการ (Dzongda) เป็นผู้บริหารระดับสูง และมีสำนักงานที่เรียกว่า “Dzong” ซึ่งทำหน้าที่ทั้งด้านปกครองและศาสนา แต่ละ Dzongkhag จะถูกแบ่งย่อยลงเป็นหน่วยการปกครองรอง เรียกว่า “Gewog” (རྒེད་འོག་) ซึ่งเทียบได้กับ "ตำบล" หรือ "แขวง" ภายในแต่ละ Gewog จะแบ่งออกเป็น Chiwog (ཕྱི་འོག་) หรือ "กลุ่มหมู่บ้าน" ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดในเชิงระบบปกครองของภูฏานในปัจจุบัน

เขตการปกครองประเทศภูฏาน
สัญลักษณ์ประจำชาติภูฏาน
สัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศภูฏานนั้นสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม ศาสนา และความเป็นอัตลักษณ์ของชาติอย่างลึกซึ้ง โดยมีทั้งสัญลักษณ์ที่เป็นทางการและสัญลักษณ์ที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวัฒนธรรมภูฏาน ดังนี้
• ดอกไม้ประจำชาติภูฏาน ดอกบลูป๊อปปี้ (Blue Poppy/ Meconopsis grandis) ดอกป๊อปปี้สีฟ้าเป็นดอกไม้ที่มีสีฟ้าสดใสสวยงามและหายาก โดยจะพบในพื้นที่สูงของเทือกเขาหิมาลัย สื่อให้เห็นถึงความงดงาม ความยืดหยุ่น และความสง่างามในธรรมชาติของภูฏาน
• นกประจำชาติ นกเรเวน (Raven/ Corvus corax tibetanus) นกศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมของภูฏาน ที่มักจะเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์องค์แรกและเทพเจ้าแห่งการปกป้อง โดยหัวนกเรเวนจะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของหมวกประจำตำแหน่งของกษัตริย์
• สัตว์ประจำชาติ ได้แก่ วัวทาคิน (Takin) ซึ่งเป็นสัตว์หายากที่พบได้ในภูฏานเท่านั้น สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์โดยมีลักษณะคล้ายกับวัวผสมแพะตัวใหญ่ มีเขา ขนตามตัวมีสีดำ มักอาศัยอยู่กันเป็นฝูงในป่าโปร่งบนความสูงประมาณ 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป และชอบกินไม้ไผ่เป็นอาหาร โดยเชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่เกิดมาจากการรวมร่างโดยพระลามะท่านหนึ่ง
• ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คือภูเขากังการ์ เพินซุม (Gangkhar Puensum) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูฏานและยังไม่มีผู้ใดพิชิตยอดเขาได้ เป็นภูเขาที่ได้รับความเคารพในฐานะพวกเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวภูฏาน
ภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ ในเทือกเขาหิมาลัยที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทางธรรมชาติ วัฒนธรรมดั้งเดิมอันโดดเด่น และวิถีชีวิตอันเงียบสงบ การทัวร์ภูฏานจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการพักใจจากโลกยุคใหม่อันแสนวุ่นวาย เพื่อกลับคืนสู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในอดีต การวางแผนเที่ยวภูฏานแนะนำให้เริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการขอวีซ่า สายการบิน สภาพอากาศและฤดูกาล เพื่อที่จะได้เลือกช่วงเวลาและเตรียมตัวไปทัวร์ภูฏานกันได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้แนะนำให้ตรวจสอบเส้นทางการเที่ยวล่วงหน้ารวมไปถึงงานเทศกาลประจำปีที่อยากเข้าร่วม เพื่อที่จะได้วางแผนเที่ยวภูฏานให้ตรงกับช่วงเวลานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติอันแสนงดงามของดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัย ประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรมดั้งเดิม ภูฏานถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ควรไปเยือนกันให้ได้สักครั้งในชีวิตค่ะ

สัญลักษณ์ประจำชาติภูฏาน