เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

ประวัติศาสตร์ภูฏาน ความเป็นมาประเทศภูฏาน อย่างละเอียด

ประวัติศาสตร์ภูฏาน ความเป็นมาประเทศภูฏาน อย่างละเอียด

01

Jun

ภูฏาน

ประวัติศาสตร์ภูฏาน ความเป็นมาประเทศภูฏาน อย่างละเอียด

ราชอาณาจักรภูฏาน (Bhutan) ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า (Druk Yul) ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันสูงชันระหว่างอินเดียและจีน เป็นหนึ่งในประเทศเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ยังคงสามารถรักษาเอกราชและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้อย่างเหนียวแน่นตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา ด้วยวิถีชีวิตอันสงบเรียบง่ายที่ ผสมผสานกับศาสนาพุทธแบบวัชรยานเข้าไว้ในทุกมิติ ด้วยแนวคิด “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness - GNH) ที่กลายเป็นปรัชญาการปกครองและการพัฒนาของชาติ สะท้อนถึงความเข้าใจในคุณค่าของชีวิตอย่างลึกซึ้ง ภูฏานจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างแท้จริง บทความนี้จะพาคุณย้อนรอยประวัติศาสตร์ของภูฏานอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่รากฐานทางศาสนา การรวมชาติ การสถาปนาราชวงศ์วังชุก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดภูฏานจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสงบและความสุขที่สุดในโลก

การกำเนิดและการตั้งถิ่นฐานในยุคแรก (ค.ศ. 600 - 1600)

    ประวัติของภูฏานในยุคแรกนั้นเต็มไปด้วยเรื่องเล่าและตำนานที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่มีหลักฐานจากโครงสร้างบางอย่างที่บ่งชี้ได้ว่า มีผู้คนมาอยู่อาศัยบนดินแดนของประเทศภูฏานตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช โดยในช่วงยุคต้นของประวัติศาสตร์ภูฏาน ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร “โลโมน” (Lhomon) ซึ่งแปลว่าความมืดทางใต้ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "โมนยุล" (Monyul) ที่แปลว่าดินแดนมืดด้วยเช่นกัน โดยเป็นชื่อที่ใช้เรียกพื้นที่ของกลุ่มชนเผ่าโมนปา (Monpa) ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มทิเบโต-พม่า (Tibeto-Burman) โดยการสันนิษฐานจากบางแหล่งเชื่อว่าโมนยุลอาจเป็นส่วนหนึ่งของทิเบตในยุคโบราณ ที่ยังไม่มีการเผยแผ่พุทธศาสนาเข้าไปถึง และมีการสันนิษฐานว่าอาณาจักร Monyul อาจมีอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 100 ถึง ค.ศ. 600 ซึ่งชื่ออื่น ๆ ของอาณาจักรที่ได้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารโบราณของภูฏานและทิเบต ได้แก่ Lhomon Tsendenjong (ดินแดนไม้จันทน์ของชาวมอนทางใต้) และ Lhomon Khashi (ดินแดนมอนทางใต้ของสี่เส้นทาง) โดยเป็นชื่อที่นักวิชาการภูฏานบางกลุ่มมักนำมาใช้อ้างอิงเมื่อต้องการกล่าวถึงประวัติศาสตร์บ้านเกิดของภูฏาน
    สำหรับชื่อ "ภูฏาน" (Bhutan) มีนักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่ามีรากศัพท์มาจากคำในภาษาสันสกฤตคือ Bhota-ant ซึ่งแปลว่า สุดปลายของโภต หรือปลายเขตแดนของทิเบต หรือมาจากคำว่า Bhu-uttan ที่แปลว่าที่สูงหรือดินแดนบนภูเขา ซึ่งคำว่า Bhutan ได้เริ่มมีปรากฏในเอกสารของต่างประเทศในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19  แต่ชื่อดั้งเดิมของประเทศซึ่งใช้มาตั้งแต่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 คือ ดรุคยุล (Drukyul) ซึ่งแปลว่าดินแดนของชาวดรุค หรือแผ่นดินแห่งมังกรสายฟ้า (Land of the Thunder Dragon) โดยอ้างอิงถึงนิกายพุทธดรุคปะซึ่งเป็นนิกายหลักของประเทศภูฏานนั่นเอง โดยนักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าในช่วงต้นของประวัติศาสตร์ ประชากรของชาวภูฏานเป็นชาวเขาที่มีความแข็งแกร่งและดุร้ายที่เรียกว่าชาวมอนปา (Monpa) ไม่ใช่ชาวเชื้อสายทิเบตหรือมองโกลที่ได้เข้ามามีอิทธิพลในเวลาต่อมา ซึ่งชาวมอนปาในสมัยนั้นจะนับถือภูตผี เคารพบูชาวิญญาณ และความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติ มีตำนานกล่าวว่าในช่วงปลายของยุคนี้ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวมอนปาได้เคยนำกองทัพเข้าทุกเรื่องพื้นที่ทางใต้ที่เรียกว่าดูอาร์ส (Duars) ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐอัสสัม เวสต์เบงกอล และแคว้นพิหารของประเทศอินเดีย  

การมาถึงของพุทธศาสนาในภูฏาน

     ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 พุทธศาสนาได้เริ่มเข้าสู่ภูฏานโดยพระเจ้าซงเซ็น กัมโป (Songtsan Gampo) แห่งทิเบต (ครองราชย์ในระหว่างปี ค.ศ. 627 - 649) ที่ได้ทรงเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาและได้สร้างวัดพุทธจำนวน 108 แห่งทั่วเทือกเขาหิมาลัย รวมถึงได้ขยายอาณาจักรทิเบตไปยังสิกขิมและภูฏาน โดยพระองค์ทรงสั่งให้สร้างวัดพุทธสองแห่ง ได้แก่ Jambay Lhakhang ในบุมทัง (Bumthang) ทางตอนกลางของภูฏาน และคิชู ลาคัง (Kyichu Lhakhang) ในหุบเขาพาโร (Paro) การเผยแผ่พุทธศาสนาในภูฏานเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในช่วงปี ค.ศ. 746 ภายใต้การปกครองของกษัตริย์สินธุราชา (Sindhu Rāja) หรือที่รู้จักในชื่ออื่นว่า กุนจอม (Künjom), เซ็นดา เกียบ (Sendha Gyab) หรือจาการ์ กยัลโป (Jakar Gyalpo) อดีตกษัตริย์อินเดียที่ลี้ภัยเข้ามาและได้มีการสถาปนารัฐบาลขึ้นที่วังจาการ์ กูโถ (Jakar Gutho Palace) ในเขตบุมทัง  
   
      การมาถึงของพุทธศาสนาในภูฏานได้เข้ามาผสมผสานเข้ากับความเชื่อดั้งเดิม ทำให้พุทธศาสนาในภูฏานค่อย ๆ เจริญขึ้นพร้อมกับการพัฒนาชุมชนซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ทั่วประเทศ จนกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่รวมชาติภูฏานให้กลายเป็นหนึ่งเดียว โดยจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรของภูฏาน ที่เริ่มต้นมาจากวรรณกรรมและพงศาวดารทางพุทธศาสนา โดยในปี ค.ศ. 810 นักบุญในพุทธศาสนาที่ได้รับสมญานามว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 อย่าง "ปัทมสมภวะ" (Padmasambhava) หรือที่ชาวภูฏานเรียกว่า "คุรุ ริมโปเช" (Guru Rimpoche) ได้เดินทางมาจากเนปาลตามคำเชิญของกษัตริย์สินธุราชา โดยมีตำนานเล่าว่าท่านได้ปราบเทพและปีศาจทั้ง 8 จำพวกจนทำให้กษัตริย์สินธุราชาหันมานับถือพุทธศาสนาในที่สุด และเมื่อท่านเดินทางกลับจากทิเบตก็ได้มีการก่อสร้างวัดอีกหลายแห่งในหุบเขาพาโร และได้ตั้งฐานหลักอยู่ในเขตบุมทัง
โดยตามตำนานเล่าว่าท่าน Guru Rimpoche ผู้นี้ เป็นผู้ก่อตั้งนิกาย ญิงมาปะ (Nyingmapa) หรือนิกายหมวกแดง ซึ่งเป็นสาขาของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่ได้กลายเป็นนิกายหลักในภูฏานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ท่านยังเป็นบุคคลสำคัญทั้งในด้านประวัติศาสตร์และศาสนา ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของประเทศ และยังเป็นผู้ที่นำหลักคำสอนทางตันตระ (tantras) ที่ว่าด้วยการบูชาพลังงานธรรมชาติมาสู่ภูฏาน อิทธิพลของพุทธศาสนาจากอินเดียในภูฏานภายใต้การมาเยือนของ Guru Rimpoche นั้นมีบทบาทอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่การอพยพของชาวทิเบตในเวลาต่อมาจะนำเอาวัฒนธรรมและศาสนาใหม่เข้ามาสู่ภูฏานในภายหลัง ซึ่งในช่วงเวลานั้นภูฏานยังไม่มีรัฐบาลกลาง หากแต่เป็นเพียงดินแดนที่มีอาณาจักรขนาดเล็กปกครองกันเอง โดยกษัตริย์ผู้ปกครองแต่ละแห่งจะถูกเรียกว่า "เดป" (deb) ซึ่งบางพระองค์ก็อ้างว่าตนมีเชื้อสายเทพเจ้า โดยมีรัฐบุมทัง (Bumthang) เป็นอาณาจักรที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในยุคนั้น

ความขัดแย้งระหว่างนิกายทางศาสนา

    ในช่วงศตวรรษที่ 10 การพัฒนาทางการเมืองของภูฏานเริ่มได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากศาสนาในอดีต โดยหลังจากที่พุทธศาสนาเสื่อมถอยในทิเบตเมื่อช่วงศตวรรษที่ 11 นิกายย่อยต่าง ๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในขณะนั้นก็เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ซึ่งในช่วงนี้ราชวงศ์หยวนของจีนที่มีอำนาจเหนือทิเบตและภูฏาน ก็ได้ให้การอุปถัมภ์นิกายพุทธอยู่หลายนิกาย จนกระทั่งราชวงศ์หยวนเสื่อมอำนาจลงในช่วงศตวรรษที่ 14 หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในทิเบต นิกายเกลุกปะ (Gelugpa) หรือที่รู้จักกันในนามนิกายหมวกเหลือง ก็เริ่มแผ่อิทธิพลขึ้นมาจนทำให้นักบวชจำนวนมากจากนิกายย่อยต่าง ๆ ที่ต่อต้านนิกายนี้ต้องอพยพลี้ภัยเข้ามายังภูฏาน หนึ่งในพระสงฆ์ที่ลี้ภัยมานี้ก็มีผู้ก่อตั้งนิกายลาปะ (Lhapa) ซึ่งเป็นนิกายย่อยของสำนัก Kargyupa มาด้วย โดยเชื่อกันว่าเป็นผู้นำแนวคิดในการสร้างป้อมปราการ (dzong) ตามจุดยุทธศาสตร์เข้ามาใช้ในภูฏานเป็นครั้งแรก ซึ่งนิกายลาปะ (Lhapa) ก็ได้มีการเผยแผ่อยู่ในภูฏานจนถึงในช่วงศตวรรษที่ 17 ในขณะที่ศาสนาพุทธนิกายดรุคปะ (Drukpa) ที่มีผู้นำคือพระภิกษุทิเบตนามว่า พาโจ ดรักกม ชิกโป (Phajo Drugom Zhigpo) ที่ได้เริ่มมีบทบาทในภูฏานมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 12 ก็ได้แผ่ขยายไปทั่วภูฏานจนกลายเป็นนิกายหลักได้ในที่สุด ทำให้นิกายญิงมาปะ (Nyingmapa) หรือ นิกายหมวกแดง ซึ่งเป็นรูปแบบเก่าของพุทธศาสนาในภูฏานก็ค่อย ๆ ถูกกลืนหายไป

การรวมอำนาจและการเอาชนะการรุกรานของทิเบต (ค.ศ. 1616–1651)

    การรวมชาติของภูฏานเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1616 เมื่อพระลามะนิกายดรุคปะ (Drukpa) จากทิเบต นามว่า งาวัง นัมเกล (Ngawang Namgyal) หรือที่รู้จักกันในพระนามว่า Zhabdrung Rinpoche ได้ก่อตั้งรัฐบาลศาสนาธิปไตย (theocratic government) ที่เป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองของทิเบต ทำให้ภูฏานในรูปแบบก่อนยุคสมัยใหม่ได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน ซึ่งจากการที่สามารถขับไล่การรุกรานของทิเบตได้หลายครั้งและได้รับชัยชนะเหนือผู้นำจากนิกายต่าง ๆ ทำให้ Ngawang Namgyal ได้รับการขนานนามว่าเป็น ซับดรุง (Zhabdrung) ซึ่งหมายถึง บุคคลที่ผู้คนกราบไหว้แทบเท้า หรือที่เรียกกันว่าธรรมราชา (Dharma Raja) ซึ่ง Zhabdrung ผู้นี้ก็ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของภูฏาน ที่สามารถรวบรวมผู้นำตระกูลที่มีอำนาจจากทั่วประเทศเข้าไว้ด้วยกันภายใต้แผ่นดินเดียวที่มีชื่อว่า ดรุคยุล (Drukyul) แปลว่า ดินแดนของชาวดรุคปะ หรือ ดินแดนแห่งพญามังกร และได้จัดทำประมวลกฎหมายฉบับละเอียดที่มีความซับซ้อนเรียกว่า "ชาอิก" (Tsa Yig) แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้ปกครอง โดยได้มีการสร้างระบบการบริหารที่มีทั้งฝ่ายศาสนาและฝ่ายพลเรือนร่วมกัน และสร้างเครือข่ายของ Dzong หรือป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ทั่วประเทศ ซึ่งระบบนี้มีบทบาทอย่างมากในการควบคุมเจ้าเมืองท้องถิ่นต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้อำนาจส่วนกลาง อีกทั้งยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับภูฏานจนสามารถต้านทานการรุกรานจากทิเบตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งป้อมปราการหรือ Dzong จำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นก็ยังคงตั้งตระหง่านให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และยังเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองแบบผสมผสานระหว่างศาสนาและอำนาจทางโลกในภูฏานยุคก่อนสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่หลังจากที่ Zhabdrung ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1651 อำนาจการปกครองในตำแหน่งนี้จึงเริ่มอ่อนแอลง มีการแก่งแย่งภายในและสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นยืดเยื้ออยู่หลายครั้ง ซึ่งกินเวลายาวนานถึงกว่า 200 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1885 อุกเยน วังชุก (Ugyen Wangchuck) จึงสามารถรวบรวมอำนาจไว้ได้สำเร็จ  

การขึ้นครองราชย์ของอุกเยน วังชุก (Ugyen Wangchuck)

    การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับชาติของอุกเยน วังชุก (Ugyen Wangchuck) เกิดขึ้นพร้อมกับการตระหนักได้ว่าระบบการปกครองแบบคู่ (the dual system) ซึ่งมีทั้งผู้นำทางโลก (Druk Desi) และทางธรรม (Zhabdrung) ที่ใช้กันอยู่ ได้ล้าสมัยและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศได้อีกต่อไป จึงได้มีการจัดการคู่แข่งคนสำคัญคือเจ้าเมืองแห่งพาโร (Ponlop of Paro) และแต่งตั้งญาติของตนซึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลดอร์จิ (Dorji) ที่ฝักใฝ่อังกฤษเข้ารับตำแหน่งแทน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1903 Zhabdrung องค์สุดท้ายได้ถึงแก่อสัญกรรม และยังไม่มีการค้นพบร่างจุติใหม่ (reincarnation) จนถึงปี ค.ศ. 1906 อำนาจการบริหารประเทศทั้งหมดจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอุกเยน วังชุก อย่างสมบูรณ์ และในปี ค.ศ. 1907 ดรุค เดซี (Druk Desi) องค์ที่ 54 และองค์สุดท้ายก็ถูกบังคับให้ลาออก แม้ในภายหลังจะมีการประกาศว่า Zhabdrung ได้กลับมาจุติใหม่อยู่หลายครั้งก็ตาม นั่นจึงทำให้ระบบการปกครองของ Zhabdrung ยุติบทบาทลงโดยสิ้นเชิง
    ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1907 ได้มีการจัดประชุมใหญ่ของพระลามะระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐบาล และหัวหน้าตระกูลสำคัญ เพื่อยุติระบอบการปกครองแบบคู่ที่ดำรงมานานกว่า 300 ปี และสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) ขึ้นแทน โดย อุกเยน วังชุกได้รับเลือกให้เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์แรกของภูฏาน (Druk Gyalpo หรือ ราชามังกร) และครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 - 1926 ในขณะที่ตระกูลดอร์จิ (Dorji) ซึ่งสนับสนุนอุกเยน วังชุก ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Gongzim (หัวหน้าคุ้มกันราชสำนัก) ซึ่งเป็นตำแหน่งบริหารสูงสุดในรัฐบาลสืบต่อเนื่องกันเป็นมรดก ในขณะที่ประเทศอังกฤษที่กำลังต้องการเสถียรภาพทางการเมืองบริเวณพรมแดนทางเหนือของอินเดีย ก็ได้ให้การสนับสนุนการสถาปนาราชวงศ์วังชุกอย่างเต็มที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่การเมืองของอังกฤษในภูฏาน จอห์น โคล้ด ไวท์ (John Claude White) ก็ได้ทำการถ่ายภาพพิธีราชาภิเษกเอาไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วย  
    ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ราชวงศ์ชิงของจีนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการที่อังกฤษได้เข้าไปมีบทบาทในเมืองลาซา (Lhasa) ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางศาสนาและการปกครองของทิเบตมากเกินไป จนอาจนำไปสู่การยึดครองทิเบต ดังนั้นในปี ค.ศ. 1910 จึงได้ทำการประกาศให้ทิเบตอยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของจีน ส่งผลให้องค์ดาไลลามะ (Dalai Lama) ของทิเบตต้องลี้ภัยไปยังอินเดีย ซึ่งจีนไม่เพียงแต่ประกาศสิทธิ์เหนือทิเบตเท่านั้น แต่ยังอ้างสิทธิ์เหนือ ภูฏาน เนปาล และสิกขิม อีกด้วย และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผลประโยชน์ของภูฏานและอังกฤษเริ่มสอดคล้องกันมากขึ้น จนเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1910 เซอร์ชาร์ลส์ อัลเฟรด เบลล์ (Sir Charles Alfred Bell) นักการทูตและนักทิเบตวิทยา ได้ลงนามในสนธิสัญญาพูนาคา (Treaty of Punakha) ร่วมกับภูฏาน สนธิสัญญานี้แก้ไขบางข้อจากสนธิสัญญาในปี 1865 โดยมีสาระสำคัญคืออังกฤษตกลงเพิ่มเงินบำรุงประจำปีเป็น 100,000 รูปี อังกฤษจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของภูฏาน และภูฏานตกลงรับคำแนะนำจากรัฐบาลอังกฤษในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกจากนี้อังกฤษยังได้มอบที่ดินในโมทิทัง (Motithang) ใกล้เมืองทิมพู, สถานีภูเขาระหว่างชูกา (Chukha) กับทิมพู และส่วนหนึ่งของบ้านภูฏาน (Bhutan House) ในแคว้นคาลิมปง (Kalimpong) ให้กับภูฏานอีกด้วย
    นักประวัติศาสตร์ภูฏานได้ทำการยกย่องว่าความก้าวหน้าสมัยใหม่ของประเทศภูฏานนั้น เริ่มต้นมาจากกษัตริย์อุกเยน วังชุก (Ugyen Wangchuck) ที่ได้ทรงมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งโรงเรียนแบบตะวันตก การพัฒนาโครงข่ายการสื่อสารภายในประเทศ ส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจกับอินเดีย รวมไปถึงการฟื้นฟูและสนับสนุนพระพุทธศาสนาและระบบสงฆ์อย่างเข้มแข็ง ซึ่งในช่วงปลายรัชกาลพระองค์ทรงได้เริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับความต่อเนื่องของราชวงศ์ จึงได้ขอร้องให้อังกฤษรับรองตำแหน่งของราชวงศ์วังชุกอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ได้นำไปสู่การตรวจสอบสถานะทางกฎหมายของภูฏานภายใต้การเป็นประเทศราชของอังกฤษ  

การพัฒนารัฐบาลแบบรวมศูนย์ (1926–1952)

    หลังการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีอุกเยน วังชุก ในปี ค.ศ. 1926 พระราชโอรสคือสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี วังชุก (Jigme Wangchuck) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่สองแห่งราชวงศ์วังชุก และได้ทรงครองราชย์จนถึงปี ค.ศ. 1952 โดยในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงสืบสานและขยายผลจากนโยบายของพระราชบิดาในการพัฒนาและรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง รวมไปถึงการก่อสร้างขยายโรงเรียนเพิ่มเพื่อส่งเสริมการศึกษา การสร้างสถานพยาบาลและถนนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมไปถึงการนำวัดวาอารามและรัฐบาลท้องถิ่นระดับแขวง (Dzongkhag) เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก แม้ว่าจะมีความพยายามในการพัฒนาภายในประเทศมากขึ้น แต่ภูฏานก็ยังคงดำเนินนโยบายแยกตัวจากกิจการระหว่างประเทศ และรักษาความเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกโดยทั่วไปอยู่เช่นเดิม
ในปี ค.ศ. 1932 รัฐบาลอังกฤษได้มีการทบทวนสถานะของภูฏานอีกครั้ง ในบริบทที่เกี่ยวกับสถานะของอินเดียซึ่งตอนนั้นถูกปกครองโดยอังกฤษ โดยได้มีการตกลงกันว่าจะปล่อยให้ภูฏานตัดสินใจเองในอนาคตว่าจะเข้าร่วมกับสหพันธรัฐอินเดียหรือไม่ และเมื่ออังกฤษสิ้นสุดการปกครองในอินเดียในปี ค.ศ. 1947 ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับภูฏานก็สิ้นสุดลงโดยปริยาย อินเดียในฐานะประเทศเอกราชใหม่จึงรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลภูฏานแทน โดยที่ภูฏานก็ยังคงมีอธิปไตยในการปกครองภายในประเทศด้วยตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับภูฏานใช้เวลาประมาณ 2 ปีก่อนที่จะมีการรับรองความเป็นอิสระของภูฏานอย่างเป็นทางการผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยได้มีการลงนามในสนธิสัญญาไมตรีระหว่างรัฐบาลอินเดียกับรัฐบาลภูฏาน ณ เมืองทิมพู เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1949 โดยอินเดียจะให้คำแนะนำแก่ภูฏานในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แทนที่อังกฤษที่เคยทำตามสนธิสัญญาพูนาคา อินเดียจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของภูฏาน และอินเดียตกลงที่จะ เพิ่มเงินอุดหนุนรายปีให้ภูฏานเป็น 500,000 รูปี และยังมีการคืนดินแดนดิวังคีรี (Dewangiri) ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญด้านจิตวิญญาณและเกียรติภูมิของชาติสำหรับภูฏาน การลงนามในสนธิสัญญานี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการรับรองความเป็นเอกราชของภูฏานในระดับนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นแรกฐานความสัมพันธ์อันมีระยะยาวระหว่างอินเดียกับภูฏานจนถึงปัจจุบัน

การปรับปรุงประเทศสู่ความทันสมัยภายใต้สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จิ วังชุก (ค.ศ. 1952–1972)

การขึ้นครองราชย์และจุดเริ่มต้นแห่งการปฏิรูป
ในช่วงที่สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จิ วังชุก (Jigme Dorji Wangchuck) ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาธิบดี (Druk Gyalpo) องค์ที่สาม ในปี ค.ศ. 1952 พระองค์ได้ทรงเป็นผู้นำในการปรับปรุงประเทศภูฏานให้มีความทันสมัยตลอดระยะเวลา 20 ปีในการครองราชย์ โดยพระองค์ได้ทรงสมรสกับหญิงสาวซึ่งเป็นญาติของเจ้าชายแห่งสิกขิม และได้รับการศึกษาจากยุโรป ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพระองค์ในกระบวนการปรับปรุงประเทศ หนึ่งในการปฏิรูปครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงต้นรัชสมัยคือการจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติ (Tshogdu) ขึ้นในปี ค.ศ. 1953 แม้ว่าพระราชาธิบดีจะยังคงมีอำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกาและมีสิทธิโต้แย้งมติของสมัชชา แต่การจัดตั้งสมัชชานี้นับได้ว่าเป็นก้าวแรกสู่การปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ

ผลกระทบจากจีนและการเริ่มต้นสู่ยุคสมัยใหม่
เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนเข้ายึดครองทิเบตในปี ค.ศ. 1951 ภูฏานจึงตัดสินใจปิดพรมแดนที่อยู่ติดกับทิเบต แล้วหันไปสนับสนุนอินเดียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านอันทรงอิทธิพลทางตอนใต้ และเพื่อป้องกันการรุกล้ำของจีน ภูฏานจึงได้เริ่มแผนการปรับปรุงประเทศโดยมีมาตรการต่าง ๆ ได้แก่ การปฏิรูปที่ดิน การยกเลิกระบบทาสและไพร่ การแยกอำนาจของตุลาการออกจากฝ่ายบริหาร มีการก่อสร้างถนนสายสำคัญ เช่น ถนนที่เชื่อมต่อทิมพู (Thimphu) กับฟุนโชลิง (Phuntsholing) บริเวณชายแดนติดอินเดีย ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1962 และประกาศให้ภาษาซองคา (Dzongkha) เป็นภาษาประจำชาติ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินเป็นอย่างมากจากอินเดีย นอกจากนี้ก็ยังได้มีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่เมืองพาโร (Paro) จัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุ สนามกีฬาแห่งชาติ รวมไปถึงอาคารราชการต่าง ๆ เช่น ที่ทำการของสมัชชาแห่งชาติ ศาลสูง (Thrimkhang Gongma) และหน่วยงานรัฐบาลในทิมพู ในขณะที่ตำแหน่งผู้บริหารราชสำนักหรือ Gongzim ที่ตระกูล Dorji ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 ก็ได้รับการยกระดับให้เป็นนายกรัฐมนตรี (Lonchen) ในปี ค.ศ. 1958 โดยที่ยังคงให้ตระกูล Dorji สืบทอดตำแหน่งต่อไป ถึงแม้ว่าการปฏิรูปนี้จะลดอำนาจของระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ แต่ก็เป็นการกระชับอำนาจของรัฐบาลส่วนกลางและลดอิทธิพลของผู้นำท้องถิ่นได้มากขึ้น

ความตึงเครียดทางการเมืองและการลอบสังหาร

    ในช่วงปี ค.ศ. 1957–1967 กระบวนการปฏิรูปประเทศของภูฏานยังคงดำเนินไปภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี จิกมี พัลเดน ดอร์จิ (Jigme Palden Dorji) ผู้ซึ่งเป็นพี่เขยของพระราชาธิบดี โดยในปี ค.ศ. 1962 เขาได้มีการขัดแย้งกับกองทัพภูฏานในเรื่องของการใช้ยานพาหนะทางทหาร รวมไปถึงการปลดนายทหารถึงกว่า 50 นาย อีกทั้งยังมีความขัดแย้งกับฝ่ายศาสนาที่ไม่พอใจแนวทางการลดอำนาจของสถาบันศาสนา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1964 ขณะที่พระราชาธิบดีประทับรักษาพระอาการที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรี Dorji ถูกลอบสังหารที่เมืองฟุนโชลิงโดยนายสิบในกองทัพ ซึ่งผู้ต้องหาในการลอบสังหารครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นทหาร รวมถึง Namgyal Bahadur ผู้เป็นลุงของสมเด็จพระราชาธิบดี ซึ่งก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ความไม่สงบยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อ Lhendup Dorji ผู้เป็นน้องชายของ Jigme Palden Dorji ที่ถูกลอบสังหารได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาถูกขัดขวางจากสมเด็จพระราชาธิบดี นั่นจึงทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์วังชุกกับกลุ่มปฏิรูปของตระกูลดอร์จิ ในความเป็นจริงแล้วจุดขัดแย้งหลักไม่ได้อยู่ที่การยกเลิกอำนาจกษัตริย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของความต้องการอิสรภาพจากการแทรกแซงของอินเดียอีกด้วย ซึ่ง Lhendup Dorji เคยขู่ที่จะสังหารและพยายามที่จะจับกุมพระนาง Yanki ซึ่งเป็นพระสนมชาวทิเบตของสมเด็จพระราชาธิบดี จนทำให้พระสนมต้องลี้ภัยไปยังอินเดียพร้อมกับพระโอรส และต่อมาในปี ค.ศ. 1964 สมเด็จพระราชาธิบดีของภูฏานได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเดียที่เมืองกัลกัตตา ซึ่งอินเดียก็ได้รับข้อเสนอให้ส่งหน่วยพลร่มมาช่วยฟื้นฟูความสงบในภูฏานหากมีความจำเป็น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้ Lhendup Dorji สูญสิ้นความไว้วางใจจากพระราชาธิบดีโดยสิ้นเชิง จนต้องลี้ภัยไปยังลอนดอน ในขณะที่ผู้สนับสนุนคนอื่นๆก็หลบหนีไปยังเนปาลและกัลกัตตา ก่อนที่จะถูกขับออกจากประเทศอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1965 และในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ได้มีความพยายามในการลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชาธิบดี แต่ไม่มีความข้องเกี่ยวกับตระกูล Dorji แต่อย่างใด รวมไปถึงผู้ที่พยายามลอบปลงพระชนม์ก็ได้รับการอภัยโทษในเวลาต่อมา

การเปลี่ยนแปลงการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

      ได้มีการประกาศให้เมืองทิมพู (Thimphu) เป็นเมืองหลวงถาวรของภูฏาน ในปี ค.ศ. 1966 และสมเด็จพระราชาธิบดีได้ทรงปรับปรุงข้อบังคับของสมัชชาแห่งชาติใหม่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1968 โดยทรงประกาศว่าอำนาจอธิปไตยจะอยู่ในมือของสมัชชาแห่งชาติ สมัชชามีสิทธิ์ถอดถอนรัฐมนตรีหรือแม้แต่พระราชาธิบดีได้ หากมีเสียงไม่ไว้วางใจ 2 ใน 3 พระองค์จะทรงราชสมบัติ ซึ่งถึงแม้จะยังคงสถานะของราชวงศ์วังชุกเอาไว้ แต่พระองค์ก็ได้ส่งเรียกร้องให้มีการลงมติไว้วางใจพระราชาธิบดีทุก ๆ 3 ปี แต่เมื่อพระโอรสขึ้นมาสืบราชสมบัติก็ได้ยกเลิกการลงมตินี้ไป
ในด้านการต่างประเทศภูฏานได้เริ่มแสวงหาความสัมพันธ์ที่เป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดต่อทั้งจีนและอินเดีย โดยในปี ค.ศ. 1962 ภูฏานได้เข้าร่วมกับโคลัมโบแพลน (Colombo Plan) และได้แสดงความจำนงเข้าร่วมกับสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1966 โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติเต็มตัวในปี ค.ศ.1971 ขณะที่อินเดียก็ยังคงสนับสนุนทางด้านการเงินให้กับภูฏานอย่างต่อเนื่องในฐานะรัฐกันชนที่มีความมั่นคง

การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck)

      สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จิ วังชุก (Jigme Dorji Wangchuck) สิ้นพระชนม์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1972 โดยมีพระราชโอรสคือ จิกมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ของภูฏาน ในขณะมีพระชนมายุได้เพียง 17 พรรษาเท่านั้น โดยพระมารดาของพระองค์คือ Ashi Kesang Dorji เป็นน้องสาวของนายกรัฐมนตรีในตระกูล Dorji ที่ถูกเนรเทศไป นั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ของราชวงศ์วังชุกกับตระกูล Dorji กลับมาแน่นแฟ้นกันมากขึ้น จนมีการอนุญาตให้สมาชิกของตระกูลซึ่งถูกขับออกนอกประเทศสามารถกลับเข้ามายังภูฏานได้
      พระราชพิธีบรมราชาภิเษกถูกจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1974 ซึ่งก่อนหน้านั้นมีรายงานว่าเกิดแผนการลอบปลงพระชนม์และวางเพลิงพระราชวัง นำไปสู่การจับกุมผู้ก่อการและผู้สมรู้ร่วมคิดรวมกว่า 30 คน ซึ่งในนั้นก็มีข้าราชการระดับสูงของภูฏานอยู่ด้วย แต่ต่อมามีการเปิดเผยว่าแผนการดังกล่าวอาจเป็นกลอุบายของนักการทูตจีน ที่ต้องการจะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างภูฏานกับอินเดีย แต่ถึงความจริงจะเปิดเผยออกมาก็ไม่เรียกว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ เพราะผู้ที่ถูกจับกลุ่มนั้นเป็นกบฏชาวทิเบต (Khampas) ที่ถูกฝึกโดยอินเดียและกำลังจะเดินทางผ่านภูฏานเพื่อกลับไปยังทิเบต และท่ามกลางแรงกดดันจากจีนรัฐบาลภูฏานจึงได้กำหนดให้ชาวทิเบตราว 4,000 คน เลือกว่าจะรับสัญชาติภูฏานหรือเนรเทศออกไป ซึ่งส่วนใหญ่เลือกการเนรเทศ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

      เหตุการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศปากีสถานในปี ค.ศ. 1971 ภูฏานถือได้ว่าเป็นประเทศแรกที่ได้ให้การรับรองรัฐบาลใหม่ของบังกลาเทศ และได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1973 ซึ่งเหตุการณ์สำคัญที่อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ภูฏานเร่งปฏิรูปและพัฒนาประเทศให้เป็นสมัยใหม่ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1975 เมื่อราชวงศ์ของรัฐสิกขิมที่มีมายาวนานกว่า 300 ปี ถูกโค่นล้มหลังจากการลงประชามติ โดยชนกลุ่มน้อยชาวสิกขิมถูกเสียงข้างมากของชาวเนปาลโหวตล้มอำนาจ ทำให้สิกขิมซึ่งเป็นรัฐในความคุ้มครองของอินเดียมาอย่างยาวนาน ได้กลายมาเป็นรัฐที่ 22 ของประเทศอินเดียในปีนั้นเอง ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างเอกราชรวมไปถึงสร้างสถานะในระดับนานาชาติ ภูฏานจึงค่อย ๆ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตร่วมกับประเทศอื่น ๆ อีกทั้งยังเข้าร่วมกับองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศมากขึ้น โดยประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฏานจำนวนมาก ก็ได้ให้ความช่วยเหลือในด้านการพัฒนาประเทศเป็นอย่างดี และในปี ค.ศ. 1999 ภูฏานก็ได้มีการออกอากาศโทรทัศน์อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก

การปฏิรูประบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการ

      เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2005 เป็นวันที่ถูกกำหนดว่าเป็น “วันมงคลที่ดวงดาวและธาตุทั้งหลายประสานกันอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งความสามัคคีและความสำเร็จ” ซึ่งเป็นฤกษ์งามยามดีที่สมเด็จพระราชาธิบดีและรัฐบาลภูฏานได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ พร้อมกับขอให้ประชาชนทุกคนร่วมกันพิจารณาและแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และได้มีการจัดตั้งสภาแห่งชาติ (National Council) ขึ้นใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจำนวน 20 คนจากแต่ละเขตการปกครองระดับจังหวัดหรือ dzongkhag ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งโดยสมเด็จพระราชาธิบดี โดยสภาแห่งชาติจะทำงานควบคู่กับสมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ที่มีอยู่เดิม โดยตามที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ สถาบันพระมหากษัตริย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของรัฐบาล ตราบเท่าที่พระมหากษัตริย์ทรงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของอาณาจักรและประชาชน

การสละพระราชสมบัติของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck)

      เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2006 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ของ ได้ทรงสละราชสมบัติและโอนอำนาจทั้งหมดในฐานะพระมหากษัตริย์ให้แก่พระราชโอรส คือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเตรียมพระราชโอรสให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบโดยเฉพาะ การสละราชพระราชสมบัติอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านของประเทศ  เนื่องจากพระองค์ทรงกังวลว่ากษัตริย์พระองค์ใหม่ควรจะได้รับประสบการณ์ตรงในการเป็นผู้นำประเทศ ก่อนที่จะมีบทบาทสำคัญในการนำประเทศเข้าสู่ระบบการปกครองแบบใหม่ จึงได้มีการสละราชสมบัติก่อนนั่นเอง
      หนังสือพิมพ์ประจำชาติ Kuensel รายงานว่า สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ได้ทรงตรัสกับคณะรัฐมนตรีว่า “ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ มกุฎราชกุมารก็จะไม่ได้รับประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ และการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ด้วยเหตุที่ภูฏานจะจัดตั้งประชาธิปไตยรัฐสภาในปี 2008 ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเตรียมการ ดังนั้นกษัตริย์พระองค์ใหม่จึงต้องได้รับประสบการณ์อันมีค่าเหล่านี้” นอกจากนี้พระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ยังทรงตรัสอีกว่า “ภูฏานไม่อาจหวังว่าจะมีช่วงเวลาใดที่ดีกว่านี้สำหรับการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญเช่นนี้ ในวันนี้ ประเทศของเรามีสันติภาพและเสถียรภาพ ซึ่งเป็นหลักประกันต่อความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ หลังจากการพัฒนาและความก้าวหน้าอย่างมากมาย ประเทศของเราอยู่ใกล้เป้าหมายการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจมากกว่าครั้งใด ความสัมพันธ์ของภูฏานกับเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดและเป็นมิตรที่สุดอย่างอินเดียได้ไปสู่ระดับใหม่ องค์กรระหว่างประเทศและพันธมิตรด้านการพัฒนาแบบทวิภาคีพร้อมให้การสนับสนุนภูฏานทั้งในด้านการพัฒนาและการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง”

การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck)

     หลังจากที่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ของภูฏานได้ทรงประกาศสระราชสมบัติ และโอนพระราชบัลลังก์ให้กับพระโอรส จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) ซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 26 พรรษา ก็ได้มีพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2008 ที่เมืองหลวงพูนาคา ซึ่งพิธีการทางศาสนาและการเฉลิมฉลองจัดขึ้นบริเวณ Tashichho Dzong และ Changlimithang Stadium ในทิมพู พิธีราชาภิเษกประกอบไปด้วยพิธีกรรมโบราณ โดยมีพระสหายชาวต่างชาติ สมาชิกของราชวงศ์ และบุคคลสำคัญที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมเพียงไม่กี่คน ซึ่งรวมไปถึง Pratibha Devisingh Patil ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอินเดียในขณะนั้นด้วย และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์กษัตริย์พระองค์ใหม่ของภูฏาน ประชาชนก็ได้ทำการทาสีป้ายถนน แขวนธงเทศกาล และประดับประดาวงเวียนจราจรด้วยดอกไม้สด พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินี เจตซุน เปมา (Jetsun Pema) โดยมีพระราชโอรส 3 พระองค์ และพระราชธิดา 1 พระองค์

ภูฏานภายใต้การปกครองของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck)

     หลังจากที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีลำดับที่ 5 ราชวงศ์วังชุก ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญของภูฏาน จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์มีบทบาทสำคัญในการนำประเทศเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ด้วยความสง่างาม นุ่มนวล และความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

    บทบาททางการเมืองและรัฐธรรมนูญ
ในปี ค.ศ. 2008 ภูฏานได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ โดยพระองค์ทรงมีหน้าที่สำคัญในการประคับประคองและส่งเสริมประชาธิปไตยให้หยั่งรากลึกในสังคมของชาวภูฏาน ซึ่งถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ทรงย้ำอยู่เสมอว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นควรอยู่ที่ประชาชน นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูง หน่วยงานอิสระ และตำแหน่งสำคัญในรัฐ ด้วยความเป็นกลางและยึดถือหลักธรรมาภิบาล

    นโยบายด้านการพัฒนาและความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness – GNH)
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) ทรงเป็นผู้สืบสานและปรับปรุงแนวคิด ความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) ซึ่งเป็นปรัชญาการพัฒนาของภูฏานที่พัฒนาขึ้นในรัชสมัยของพระราชบิดา ซึ่งภายใต้การนำของพระองค์ แนวคิด GNH ได้ถูกขยายขอบเขตให้ครอบคลุมไปถึงความเป็นธรรมทางสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมดั้งเดิม และธรรมาภิบาล นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนการศึกษาที่ทันสมัย การพัฒนาสาธารณูปโภคในชนบท รวมไปถึงการสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขสำหรับประชาชนทุกกลุ่มของประเทศ
 
การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) ทรงให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะ สงบ สมดุล และมีเกียรติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับอินเดีย ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของภูฏาน ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ประเทศในเอเชียใต้ ถึงแม้ว่าภูฏานจะยังคงรักษานโยบายการเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ยังคงให้ความร่วมมือในด้านการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาที่ยั่งยืนกับนานาประเทศด้วย โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรค COVID-19 พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการให้กำลังใจและกำหนดทิศทางให้กับรัฐบาล รวมไปถึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดซื้อวัคซีนและสนับสนุนด้านการแพทย์ อีกทั้งยังทรงเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ห่างไกลด้วยพระองค์เอง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจสะท้อนความเป็นผู้นำที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนได้เป็นอย่างดี

เรียกได้ว่าภูฏานนั้นถือกำเนิดภายใต้ร่มเงาแห่งพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักรโดยผู้นำทางศาสนา มาจนถึงการจัดตั้งราชวงศ์วังชุก ดินแดนเล็ก ๆ ที่เลือกเส้นทางแห่งสันติสุข ความสมดุล และการพัฒนาซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าทางจิตวิญญาณ มากกว่าความรุ่งโรจน์ทางวัตถุ และด้วยหลักแนวคิดความสุขมวลรวมของประชาชาติ (GNH) ทำให้ภูฏานได้กลายเป็นตัวอย่างของชาติที่ไม่วัดความสำเร็จจากตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่ยึดถือในด้านคุณภาพชีวิต ความสงบสุขของสังคม และความยั่งยืนของธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยภูมิประเทศที่มีวิวทิวทัศน์อันแสนงดงาม วัฒนธรรมอันลึกซึ้ง ภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของผู้คนที่สะท้อนให้เห็นว่า ความเจริญแท้จริงแล้วอยู่ที่การมีชีวิตที่สมดุลทั้งกายและใจ ท่ามกลางสังคมและธรรมชาติที่มีความสมดุลกัน และนี่จึงเป็นเสน่ห์ของประเทศภูฏานที่สังคมโลกยุคใหม่กำลังโหยหาเป็นอย่างยิ่ง นั่นจึงทำให้ภูฏานกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ที่ต้องการแสวงหาธรรมชาติ ความสงบสุข และสัมผัสกับวิถีชีวิตท่ามกลางวัฒนธรรมอันแสนลึกซึ้ง ที่มีมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ในอดีต